Rimegepant เป็นยาเม็ดชนิดแรกของกลุ่มAnti-CGRP ที่เป็นยาในรูปแบบชนิดเม็ด โดยกลไกจะทำงานเป็นทั้งยาแก้ปวดและยารักษาไมเกรนภายในเม็ดเดียว โดยผู้ป่วยสาามารถอมใต้ลิ้น ยามีรสชาติมิ้น ที่สำคัญออกฤทธิ์เร็วและผลข้างเคียงน้อย


Rimegepant  ยาไมเกรน ที่เป็นทั้งยาแก้ปวดและยาป้องกันในเม็ดเดียว

ยาแก้ปวดที่สามารถช่วยลดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ ที่เหมาะกับปวดน้อยถึงปานกลาง&nbsp;ที่หลายๆ คน มักพกไว้ติดตัว นั่นก็คือ ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือ&nbsp; non-steroidal anti inflammatory drugs ยกตัวอย่างเช่น naproxen ibuprofen aspirin&nbsp;&nbsp;วิธีการใช้ยาแก้ปวดกลุ่มนี้ นั่นก็คือ1. ต้องทานหลังมื้ออาหารทันทีเท่านั้น เนื่องจากระคายเคืองกระเพาะอาการ2. ไม่ควรใช้ซ้ำซ้อน มากกว่า 1 ชนิด เพราะทำให้เพิ่มผลข้างเคียงที่มากขึ้นได้&nbsp;American migraine foundation ได้บอกไว้ว่า ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs มีประสิทธิภาพในการลดปวดเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่&gt; Naproxen (นาพรอกเซน) ขนาดยาที่ใช้ ไม่ควรเกิน 1000 มิลลิกรัมต่อวัน&gt; Ibuprofen (ไอบูโพรเฟน) ขนาดยาที่ใช้ ไม่ควรเกิน 2400 มิลลิกรัมต่อวัน.ซึ่งทั้งสองตัวยานี้ สามารถทานร่วมกับกลุ่ม Triptan ได้ ซึ่งจากงานวิจัยได้บอกไว้ว่า ในช่วงที่เราปวดศีรษะรุนแรง ถ้าเราทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs ร่วมกับกลุ่ม Triptan จะทำให้ประสิทธิภาพในการลดปวด สูงกว่า การทานยาแก้ปวดตัวใดตัวหนึ่งอย่างเดียว.ซึ่งยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs ไม่ควรทานตอนท้องว่าง เพราะขึ้นชื่อว่ามีฤทธิ์กัดกระเพาะได้&nbsp;มียาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs อีกประเภทนึง ที่ทางการแพทย์เรียกว่า COX-2 inhibitors&nbsp;ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า เอนไซม์ COX นี่คืออะไรCOX คือ เอนไซม์ที่ชื่อ cyoclooxygenase โดยเอนไซม์ จะแบ่งเป็น COX-1 และ COX-2COX-1 : เป็นเอนไซม์ที่สร้างสารเคมีที่ช่วยดูแลสมดุลของร่างกายในภาวะปกติCOX-2 : เป็นเอนไซม์ที่สร้างสารเคมีที่ไม่ปกติ เช่น สร้างสารเคมีที่ทำให้เกิดอาการปวด&nbsp;ซึ่งกลุ่มยานี้มันชื่อ COX-2 inhibitors ตรงตัวเลย นั่นก็คือการยับยั้งเอนไซม์ ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ทำให้ยากลุ่มนี้จะเกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารน้อยกว่ายาในกลุ่มอื่น&nbsp;ซึ่งยาในกลุมนี้มักจะลงท้ายด้วยคำว่า -coxib (คอกซิบ) ไม่ว่าจะเป็น etoricoxib, celecoxib.ยาแก้ปวดแบบ COX-2 inhibitors มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ 2 ตัวแม่ NSAIDs หรือไม่มีงานวิจัยได้ทำการเปรียบเทียบระหว่างตัวยา Ibuprofen และ Rofecoxib ในการรักษาไมเกรน ผลพบว่า ยาทั้ง 2 ตัว มีประสิทธิภาพในการลดปวดไมเกรนได้ทั้งคู่.ซึ่งเมื่อดูในเรื่องของผลข้างเคียงของการทานยา พบว่า ผู้ป่วยไมเกรนที่ใช้ยา Rofecoxib ไม่พบผลข้างเคียง แต่อีกกลุ่มที่ใช้ Ibuprofen พบว่ามีอาการปวดท้องร่วมด้วย.เมื่อพูดถึงยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs สามารถเกิดภาวะ medication overuse headache หรือภาวะติดยาแก้ปวดได้เหมือนกัน จดไว้เลยว่า ไม่ควรทานเกิน 15 วันต่อเดือน ติดต่อกันเกิน 3 เดือน.อาการติดยาแก้ปวดสังเกตได้ง่ายๆจาก 5 อาการ!<ul><li>ตื่นมาตอนเช้าก็ปวด</li><li>ปวดหัวบ่อยขึ้น</li><li>มีแนวโน้มไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวด</li><li>อาการปวดจะดีขึ้นเมื่อทานยา แต่พอยาหมดฤทธิ์ อาการปวดก็จะกลับมาเหมือนเดิม</li><li>ปวดแม้จะไม่มีสิ่งกระตุ้น</li></ul>&nbsp;ผลข้างเคียงจากการใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs<ul><li>มีผลต่อระบบทางเดินอาหาร กัดกระเพาะ มีแผลในกระเพาะอาหาร</li><li>เสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง หัวใจ หลอดเลือดสมอง</li><li>เสี่ยงต่อการเกิดไตวาย เพราะตัวยาแก้ปวด อาจทำให้เกิด ภาวะบวมน้ำ แทสเซียมในเลือดสูงได้</li></ul>.อย่างนั้นแล้ว การทราบชื่อยาที่ทาน ปริมาณที่สามารถทานได้ในแต่ละวัน รวมไปถึงข้อควรระวังต่างๆ จะทำให้สามารถเลือกใช้ยาแก้ปวดได้ดีมากขึ้นและการใช้ยาแต่ละตัว ควรอยู่ภายใต้แพทย์และเภสัชกร ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น&nbsp;&nbsp;

ยาแก้ปวดที่สามารถช่วยลดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ ที่เหมาะกับปวดน้อยถึงปานกลาง 

ที่หลายๆ คน มักพกไว้ติดตัว นั่นก็คือ ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือ  non-steroidal anti inflammatory drugs ยกตัวอย่างเช่น naproxen ibuprofen aspirin 

มาทำความรู้จักกับ "ยาแก้ปวด กลุ่ม NSAIDs" - Smile Migraine

สำหรับชาวไมเกรน อย่างเราๆ วันไหนปวดหนัก ปวดรุนแรง มันก็จะต้องมีอาการร่วม อย่างคลื่นไส้อาเจียน ตามมาด้วยทุกที.วันนี้ทีมสไมล์ ไมเกรน จะมาไขข้อสงสัยว่า เอ้ ! ทำไม ไมเกรนถึงต้องคลื่นไส้อาเจียน&nbsp;แล้วเวลาคลื่นไส้อาเจียน เราสามารถรับมือฉบับชาวไมเกรน ยังไงได้บ้างนะ!.สำหรับคำถามที่บอกว่า "ทำไม ตอนไมเกรนมาหนักๆ เนี้ย ต้องคลื่นไส้อาเจียนเป็นของคู่กันเลยหล่ะ? ".ปกติแล้วเวลาไมเกรนกำเริบนั้น นอกจากอาการปวดหัวจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว ก็มักจะมาพร้อมอาการร่วม อย่างคลื่นไส้อาเจียนที่มาพร้อมกันเหมือนนัดกันไว้.นั่นก็เพราะเจ้าไมเกรนที่อยู่ในสมองที่ถูกกระตุ้นอยู่นี้ มันจะไปกระตุ้นโดปามีน (Dopamine) ที่อยู่บริเวณก้านสมองที่เปรียบเสมือนกองบัญชาการศูนย์ควบคุมอาการอาเจียน.นอกจากนี้ในบริเวณดังกล่าวยังรายล้อมไปด้วยศูนย์ควบคุมระบบหายใจ และระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเวลาที่เราคลื่นไส้อาเจียนนั้น มักจะมีภาวะหัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก อ่อนแรง หรือเวียนศีรษะในระหว่างที่เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ด้วย.และอีก 1 สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน นั่นก็คือ ระดับสารเคมีในสมอง ที่ชื่อ ซีโรโทนิน (Serotonin) ที่เกี่ยวข้องกับกลไกอาเจียนลดต่ำลง.วันนี้ทีม สไมล์ ไมเกรน จะพามาดูเกี่ยวกับ 4 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ อาการคลื่นไส้ อาเจียนกัน!&gt; โรคปวดศีรษะไมเกรน มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ได้เกือบ 50%&nbsp;&gt; ยิ่งครั้งนั้น เป็นไมเกรนรุนแรง ยิ่งจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นใครไม่อยากอาเจียน ต้องไม่ปล่อยให้มีอาการปวดรุนแรง&gt; ราว 50% เมื่อชาวไมเกรนมีการอาเจียนออก อาการปวดศีรษะไมเกรนจะดีขึ้น&gt; ยาแก้คลื่นไส้ อาเจียน สามารถช่วยได้ทั้งอาเจียน และ ปวดหัวนะ.มาดู 4 ทริคแก้คลื่นไส้ อาเจียน ฉบับชาวไมเกรนกัน ว่าทำยังไงดี?1) กินยาแก้ปวดเร็วปวดกับคลื่นไส้อาเจียน สัมพันธ์กัน ปวดมาก อาเจียนมาก ปวดน้อย อาเจียนน้อย ไม่ปวดเลย ไม่คลื่นไส้เลย&nbsp;ดังนั้น ปวดปุ้บ ควรกินยาปั้บ.2) กลิ่นบรรเทาได้สมองเรา มีต่อมรับกลิ่น ถ้าตอนปวด สมองยิ่งไวต่อกลิ่น ต่อมรับกลิ่น ต่อตรงต่อมอาเจียน เข่น เวลาเจออาหารบูดๆ ต่อมอาเจียนก็ทำงานด้วย&gt;&gt; กลิ่นระงับอาเจียน คือ กลิ่นสดชื่น กลิ่นเมนทอล กลิ่นการาบูน ยาดมไทยนั่นแหละ จัดไป บ้างทาขมับ บ้างยัดจมูก หรือจะลองเลือกใช้เป็นกลิ่นบรรเทาอาการไมเกรนโดยเฉพาะได้นะ ยกตัวอย่างเช่น ลาเวนเดอร์ เปเปอร์มินต์ ยูคาลิปตัส คาโมมายล์ เป็นต้น.3) ยาแก้อาเจียนยา Domperidone กินแก้คลื่นไส้ อาเจียนได้ ใครมีประวัติ ปวดหัวแล้วอาเจียน ให้กินยาแก้ปวดทันที เพราะเราเป็นมนุษย์ไมเกรนประเภทกระเพาะลำไส้อ่อนแอ.ตัวยานี้ วิธีการทานนั่นก็คือ 1 เม็ด 3 เวลา (เช้า, กลางวัน, เย็น).4) ใช้ขิงลดอาการคลื่นไส้ อาเจียน.เราจะมาทำความเข้าใจกันว่า เอ้ะ! ทำไมเวลาคลื่นไส้อาเจียน ขิงถึงลดอาการดังกล่าวได้น๊า?&nbsp;.นั้นก็เพราะในขิง มีสารสกัดสำคัญชนิดหนึ่งที่กล่าวไปในบทความก่อนๆ นั่นก็คือ สารสกัด Gingeral และ Shogaol ซึ่งตัวสารสกัดนี้จะมีฤทธิ์ในการยับยั้งการหลั่งสารซีโรโทนิน (Serotonin) ที่ระบบประสาทส่วนกลางและระบบทางเดินอาหาร จึงมีผลทำให้ยับยั้งการเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้นั่นเอง.ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า สมุนไพรใกล้ตัวอย่างขิง นั้นสารพัดประโยชน์กับชาวไมเกรนได้จริงๆ และจุดเด่นที่สำคัญนั่นก็คือ การต้านอักเสบ.ทางสไมล์ ไมเกรน จึงได้ทำการพัฒนา เจ้าขิง ให้อยู่ในรูปของแคปซูลทานง่าย ลดปวดได้ ไม่มีผลข้างเคียงอย่าง ตัวช่วยลดปวด Migra G เพียงทานครั้งละ 2 เม็ดเวลาเริ่มปวดหรือระดับอาการปวดน้อยๆ&nbsp;.จะช่วยทำให้ชาวไมเกรนลดการทานยาแก้ปวดที่อาจส่งผลเสียระยะยาวให้แก่ร่างกาย.นอกจากนั้นตัวช่วยลดปวด อย่าง Migra G ไม่ทำให้เกิดภาวะติดยาแก้ปวด และไม่มีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารด้วยนะ นอกจากนั้นสามารถทานได้สูงสุด 8 เม็ดต่อวัน เนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการท้องอืดได้&nbsp;แหล่งที่มา :<a href="https://www.smilemigraine.com/products/migra-g-ginger-pain-relief">https://www.smilemigraine.com/products/migra-g-ginger-pain-relief</a><a href="https://onelink.to/fq5kra"><img src="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/Footer_Tele_Blog_Ai_5_5292a16071/Footer_Tele_Blog_Ai_5_5292a16071.png" alt="Footer Tele Blog - Ai (5).png" srcset="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Ai_5_5292a16071/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Ai_5_5292a16071.png 245w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/small_Footer_Tele_Blog_Ai_5_5292a16071/small_Footer_Tele_Blog_Ai_5_5292a16071.png 500w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/medium_Footer_Tele_Blog_Ai_5_5292a16071/medium_Footer_Tele_Blog_Ai_5_5292a16071.png 750w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/large_Footer_Tele_Blog_Ai_5_5292a16071/large_Footer_Tele_Blog_Ai_5_5292a16071.png 1000w," sizes="100vw" width="1000px"></a>

สารสกัดในขิง จะมีฤทธิ์ในการยับยั้งการหรั่งสารซีโรโทนิน (Serotonin)

คลื่นไส้ อาเจียนในโรคไมเกรน ขิงช่วยได้

<h3>CGRP คืออะไร?</h3>CGRP หรือชื่อเต็มว่า Calcitonin Gene-Related Peptide เป็นสารสื่อประสาท (Neuropeptide) ที่มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมความเจ็บปวดและการอักเสบของร่างกาย สามารถพบได้ทั่วร่างกาย แต่มักจะอยู่กันเยอะๆ ที่ระบบประสาทและ ระบบหัวใจและหลอดเลือด &nbsp;<h3>CGRP ทำงานอย่างไร?</h3>โดยเจ้าสารสื่อประสาทนี้จะมีความสำคัญเมื่อเกิดไมเกรน โดยเจ้า CGRP นี้จะถูกปล่อยออกมาจากเซลล์ประสาท Trigeminal มาจับกับตัวรับส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งสัญญาณความปวดไปที่ระบบประสาทส่วนกลางและส่วนปลาย และจากการศึกษาพบว่ายิ่งระบบประสาทส่วนนี้ถูกกระตุ้นมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งทำให้ร่างกายไวต่อความปวดมากยิ่งขึ้นเท่านั้น รวมถึงการปล่อย CGRP ที่มีความเข้มข้นเพิ่มมากขึ้นเมื่อปวดไมเกรน.นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเพิ่มเติมว่า ตอนที่ปวดหัวไมเกรนกำเริบ ระดับของ CGRP ในเลือดของผู้ป่วยจะสูงขึ้น ดังนั้นเวลาที่ปวดหัวไมเกรนและได้รับยาแก้ปวดกลุ่มที่จำเพาะกับไมเกรน อย่างกลุ่ม Triptan จะช่วยลดระดับ CGRP ในเลือด เพราะตัวยาจะเข้าไปจับและกระตุ้นตัวรับเซราโทนิน (5HT receptor)ในสมอง ให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดและลดการอักเสบ.<h3>ยาที่ต้าน CGRP นี้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม</h3>ได้แก่กลุ่มที่ 1. CGRP receptor antagonists (ยากลุ่ม Gepants) ตอนนี้มีตัวยาออกมาแล้ว ชื่อว่า Rimegepant เป็นยาใหม่ที่ยังไม่เข้าไทย แต่มีจำหน่ายแล้วที่ประเทศอเมริกา&nbsp;.กลุ่มที่ 2. CGRP function-blocking monoclonal antibodies (CGRP function-blocking mAbs) หรือยาฉีดที่ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง.ซึ่งกลุ่มที่ 2 นี้ จุดเด่นจะมีความจำเพาะต่อ CGRP หรือ CGRP receptor สูง ผลข้างเคียงน้อย อีกทั้งจากการศึกษาทางคลินิกในสัตว์แล้วไม่มีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจและระดับความดันโลหิต ปัจจุบันยากลุ่มนี้มีด้วยกัน 3 ชนิดได้แก่ fremanezumab, galcanezumab และ erenumab.ซึ่งชนิดที่ 1 fremanezumab กับ 2 galcanezumab จะเป็นประเภท humanized mAbs คือยาจะไปจับกับ CGRP โดยตรง (รูป Ref.ตรงกลาง)แต่ชนิดที่ 3 erenumab จะเป็นประเภท fully human mAbs คือจะจับกับทั้ง CGRP โดยตรง และเข้าไปจับกับตัวรับ CGRP ด้วย (รูป Ref.ขวาสุด)<figure class="image"><img src="https://cdn.shopify.com/s/files/1/0571/1806/4733/files/03.03.23-1_480x480.png?v=1679629006" alt=""></figure>จึงทำให้การรักษาด้วยยาฉีดกลุ่มต้าน CGRP นี้เป็นการรักษาอาการปวดไมเกรนที่ต้นเหตุ กล่าวคือเข้าไปสยบตัวการการปวด บล็อก CGRP ไม่ให้ส่งสารความเจ็บปวดได้&nbsp;<h3>ใครควรที่จะรับการรักษาด้วย anti-CGRP บ้าง?</h3><ol><li>รักษาด้วยยาป้องกันชนิดอื่นๆ แล้วไม่เห็นผล</li><li>ทนผลข้างเคียงตัวยาป้องกันชนิดอื่นๆ ไม่ได้</li><li>ไมเกรนเรื้อรัง (ปวดศีรษะมากกว่า 15 วันต่อเดือน ติดต่อกัน 3 เดือน)</li></ol>.<h3>ผลการวิจัยต่างๆ&nbsp;</h3>จากการศึกษา Danish Headache Center ที่เดนมาร์ค ในคนไข้ไมเกรนเรื้อรัง (Chronic Migraine) ปวดไมเกรนมากกว่า 15-30 วันต่อเดือน จำนวน 300 คน ที่ได้ยา Erenumab พบว่า ผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อยาตั้งแต่วันแรกที่ฉีด และมีการตอบสนองที่ชัดเจนมากขึ้นในสัปดาห์แรก&nbsp;.และหลังจากที่มีการติดตามผู้ป่วยไปในระยะเดือนที่ 2 และเดือนที่ 3 พบว่า ผู้ป่วยกว่า 71% ที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนลดงลงจากเดือนก่อน 30% และกว่า 56% มีอาการปวดศีรษะลดลงเกิน 50% นั้นแปลได้ว่าถ้าคุณเป็นคนที่ปวดศีรษะทุกวันหรือเกือบทุกวัน การฉีดตัวยาที่ต้าน CGRP นี้จะมีโอกาสช่วยลดจำนวนวันปวดศีรษะให้ลดไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง<figure class="image"><img src="https://cdn.shopify.com/s/files/1/0571/1806/4733/files/03.03.23-2_480x480.png?v=1679629040" alt=""></figure>ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่า คำว่า CGRP กับไมเกรนนั้นมีความสัมพันธ์กันโดยตรง เพราะเจ้าตัวนี้แหละที่เป็นตัวกระตุ้นและสร้างความเจ็บปวดให้กับไมเกรน&nbsp; &nbsp;แหล่งที่มา :<a href="https://thejournalofheadacheandpain.biomedcentral.com/articles/10.1186/s10194-022-01433-9">https://thejournalofheadacheandpain.biomedcentral.com/articles/10.1186/s10194-022-01433-9</a> &nbsp;<a href="https://onelink.to/fq5kra"><img src="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/Footer_Tele_Blog_Ai_3_30b4251a6d/Footer_Tele_Blog_Ai_3_30b4251a6d.png" alt="Footer Tele Blog - Ai (3).png" srcset="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Ai_3_30b4251a6d/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Ai_3_30b4251a6d.png 245w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/small_Footer_Tele_Blog_Ai_3_30b4251a6d/small_Footer_Tele_Blog_Ai_3_30b4251a6d.png 500w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/medium_Footer_Tele_Blog_Ai_3_30b4251a6d/medium_Footer_Tele_Blog_Ai_3_30b4251a6d.png 750w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/large_Footer_Tele_Blog_Ai_3_30b4251a6d/large_Footer_Tele_Blog_Ai_3_30b4251a6d.png 1000w," sizes="100vw" width="1000px"></a>&nbsp; &nbsp;

CGRP คืออะไร?

CGRP หรือชื่อเต็มว่า Calcitonin Gene-Related Peptide เป็นสารสื่อประสาท (Neuropeptide) ที่มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมความเจ็บปวดและการอักเสบของร่างกาย สามารถพบได้ทั่วร่างกาย แต่มักจะอยู่กันเยอะๆ ที่ระบบประสาทและ ระบบหัวใจและหลอดเลือด

ยาฉีดระงับไมเกรน

ทีมสไมล์ ไมเกนน เชื่อเหลือเกินว่าชาวไมเกรน หลายคนก็สงสัยว่าทำไม๊ ทำไม เวลาทานวิตามินป้องกันไมเกรน Migra ไปแล้วฉี่เหลืองมากกกก.สำหรับชาวไมเกรนคนไหนไม่เคยทานพวกกลุ่มวิตามิน A-Z เสริมมาก่อน อาจจะตกใจหนักมากได้&nbsp;กังวลไปหมด ทานนานๆ แล้วไตฉันจะเป็นอะไรไหม? ตับจะพังไหมน๊าา.วันนี้ทีม Migra Shop จะมาเฉลยให้ฟังว่า ทำไมทานแล้ว ฉี่มันถึงเหลืองอร่ามได้ขนาดนั้น.ก่อนอื่นชาวไมเกรนทุกคนที่ประสบปัญหานี้ เรามาลองพลิกกระปุกวิตามินของเราดูกันก่อนว่า มันมีส่วนประกอบหลักๆ อะไรอยู่บ้างนะ?&gt; Riboflavin (vitamin B2) เสริมสร้างสมองให้ทนทานต่อสิ่งกระตุ้น&gt; Magnesium ช่วยคลายกล้ามเนื้อที่หดเกร็ง ช่วยผ่อนคลายความเครียดและแมกนีเซียมจะไปยับยั้งการส่งสารเคมีที่ก่อให้เกิดอาการปวดด้วย&gt; Coenzyme Q10 เสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์สมอง เพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันไมเกรน.# Migra มีทั้งหมด 2 สูตร&gt; สีเขียว เหมาะกับชาวไมเกรนที่มีความถี่น้อยกว่า 10 วันต่อเดือน, หลับยาก, มีอาการปวดคอบ่าไหล่เป็นตัวกระตุ้น&gt; สีส้ม/แดง เหมาะกับชาวไมเกรนที่มีความถี่มากกว่า 10 วันต่อเดือน, ปวดรุนแรง. &nbsp;นั่นไง นั่นก็เพราะส่วนประกอบหลักของ Migra มีกลุ่มวิตามิน Riboflavin หรือ B2 เป็นส่วนประกอบหลักอยู่นั้นเอง.จากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คุณครูเคยสอนไว้ว่า วิตามิน B2 นั้น<ul><li>เป็นกลุ่มวิตามินที่ละลายน้ำได้ มีประโยชน์ที่ช่วยในการเผาผลาญอาหารประเภทแป้ง ไขมัน และโปรตีน&nbsp;</li><li>เป็นสารอาหารที่พบได้ตามธรรมชาติ มักจะพบในข้าว ธัญพืช เนื้อสัตว์ ไข่ นม เครื่องในสัตว์ ผักใบเขียว โยเกิร์ต</li><li>ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์&nbsp;&nbsp;</li><li>ช่วยต้านอนุมูลอิสระ บำรุงผิวพรรณ เล็บ และเส้นผม&nbsp;</li><li>ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของสายตาและเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็น&nbsp;</li><li>กำจัดอาการเจ็บแสบในปาก ริมฝีปาก และลิ้น&nbsp;&nbsp;</li><li>ช่วยต่อมหมวกไตผลิต Corticosteroids โดยจะควบคุมการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการดูดซึมมากขึ้น</li><li>ที่สำคัญลดความเจ็บปวดจากไมเกรนได้</li></ul>.ขอเสริมเกร็ดความรู้อีกเล็กน้อย กรณีที่ร่างกายของชาวไมเกรนมีระดับวิตามินบี 2 (Ribloflavin) ที่ต่ำ ก็จะทำให้การทำงานของตัวไมโทรคอนเดีย (mitochondria) เสียไป ซึ่งจะส่งผลต่อพลังงานของเซลล์สมอง ทำให้เกิดไมเกรนตามมาได้นั่นเอง.แล้วทำไมทานตัวนี้แล้วปัสสาวะเหลืองจัง?นั่นก็เพราะ เกิดมากจาก กลุ่มวิตามิน B2 อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเป็นกลุ่มวิตามินที่ละลายน้ำได้ และด้วยกลไกของร่างกายจะกักเก็บสารอาหารเหล่านี้ไว้ให้เพียงพอต่อความต้องการของร่ายกาย โดยจะไปเก็บไว้ที่ตับ ประมาณ 16 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตับ 1 กรัม, ในไตมี 20-25 ไมโครกรัมต่อเนื้อไต 1 กรัม, ในโลหิตมีไรโบเฟลวินประมาณ 3.2 ไมโครกรัมต่อ 100 มิลลิลิตร และส่วนเนื้อเยื่ออื่นๆอีกเพียงเล็กน้อย&nbsp;.ดังนั้น ส่วนเกินที่ร่างกายต้องการก็จะถูกขับอกทางปัสสาวะประมาณ 200 ไมโครกรัมต่อวัน.และอีกความลับของ Riblofavin หรือ B2 ตามรากศัพท์ “flavus” มาจากภาษาลาติน ที่ให้ความหมายว่าสีเหลือง และลักษณะของ B2 แล้วจะเป็นผลึกรูปสีส้มปนเหลืองเมื่อเป็นสารละลายจะให้สีเหลืองอมเขียวและเรืองแสงออกมา&nbsp;.แต่ชาวไมเกรนหลายๆ คน ยังคงมีความสงสัยกันแน่ๆ ว่าใช้ไปเรื่อยๆ มันจะไม่อันตรายแน่หรอ?ไม่อันตรายนะชาวไมเกรน สามารถทานต่อเนื่องได้เลย ไม่ต้องหยุดทาน เพราะการที่เราทานตัววิตามินบี 2 วันละประมาณ 200 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างต่อเนื่องในระยะยาว มันสามารถป้องกันไมเกรนได้นะ.แต่ถ้าชาวไมเกรนคนไหน เวลาปัสสาวะ รู้สึกว่ามีอาการแสบขัด หรือมีเลือดปนออกมาด้วย แบบนี้ควรที่จะทำการเข้าพบแพทย์และรับการตรวจอย่างละเอียด เพราะถือว่าผิดปกตินะชาวไมเกรน &nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;

ทานอาหารเสริมหรือวิตามินป้องกันไมเกรนบางตัว และปัสสาวะออกมามีสีเหลือง นั่นก็เพราะมีส่วนประกอบมาจากวิตามินบี 2

ทาน Migra แล้วปัสสาวะสีเข้ม ถือว่าปกติไหม?

﻿ใครว่าไม่ได้สำหรับผู้เชี่ยวชาญ “ยาแก้ปวด” อย่างเราๆ ชาวไมเกรนใครที่ไหน บอกว่ายี่ห้อไหนดี ยี่ห้อไหนที่ว่าแรง ชาวไมเกรนอย่างเราก็อยากจะลอง หรือหาซื้อกันมาติดไว้อย่างแน่นอน เพราะยาแก้ปวดเป็นตัวช่วยลดอาการปวดได้อย่างฉับพลัน และเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้จริงๆ.วันนี้สไมล์ ไมเกรน จะมาเล่าถึงตัวยา Tramadol ยาแก้ปวดที่เป็นกลุ่มโอปิออยด์ (Opioids)&nbsp; ซึ่งจะมีอนุพันธ์มาจากฝิ่น ชาวไมเกรนหลายๆ คน มักจะคุ้นหูคุ้นตากับยาแคปซูลสีเขียวเหลืองกันมาบ้าง เพราะเราสามารถหาซื้อยาตัวนี้ได้จากร้านขายยา.แต่ถือว่าเป็นตัวยาที่ค่อนข้างอันตราย และมักจะมีคนนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์อยู่เสมอ ยกตัวอย่างเช่น นำตัวยามาผสมกับเครื่องดื่มขนิดต่างๆ เข่น น้ำอัดลม แอลกอฮอล์ เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นต้น .ซึ่งผลของการใช้ในลักษณะดังกล่าว จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม จนทำให้ทีความต้องการอยากใช้ทุกวันได้ เมื่อไม่ได้ใช้อาจจะทำให้เกิดภาวะถอนยา บางรายอาจเจอผลข้างเคียงในการใช้ จนถึงแก่ชีวิตก็มีเช่นกัน.เอ้ ! แล้วกลุ่มยาแก้ปวดนี้มันเป็นยังไง เดี๋ยวทางสไมล์ ไมเกรน จะเล่าให้ฟัง&nbsp;.สำหรับตัว Tramadol นี้เป็นกลุ่มยาแก้ปวดใช้บรรเทาอาการปวดได้เช่นเดียวกับมอร์ฟีน&nbsp;บรรเทาอาการปวดระดับปานกลางจนถึงระดับรุนแรง&nbsp;แต่ตัวนี้ไม่จัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษ เนื่องจากยาชนิดนี้ยังระงับอาการปวดได้น้อยกว่ามอร์ฟีน 5-20 เท่า&nbsp;.สำหรับการออกฤทธิ์ของ Tramadol นั้น จะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดและเป็นเปลี่ยนเป็น Active form ที่บริเวณตับ ตัวยาจะทำหน้าที่เหมือนสารเอ็นโดรฟิน (Endorphin) ในสมอง โดยการยับยั้งตัวรับสาร (Receptors) เกี่ยวกับความรู้สึกเจ็บปวดที่ถูกส่งมายังเซลล์ของระบบประสาทส่วนกลาง&nbsp;.ทำให้ชาวไมเกรนที่ทานตัวยาแก้ปวด Tramadol เข้าไปจะรู้สึกปวดน้อยลง เมื่อร่างกายใช้ประโยชน์จากตัวยาหมดแล้วก็จะขับออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะของเรานั่นเอง&nbsp;.โดยตัวยาแก้ปวด Tramadol นี้จะออกฤทธิ์หลังจากทานเข้าไปประมาณ 1 ชั่วโมง และควบคุมอาการปวดได้ประมาณ 6-9 ชั่วโมง&nbsp;.ผลข้างเคียงของยาแก้ปวดตัวนี้ ไม่กัดกระเพาะเหมือนกับยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือที่เรารู้จักกันนั่นก็คือ ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ แต่ตัวยาแก้ปวด Tramadol สามารถพบผลข้างเคียงในเรื่องคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หน้ามืดได้ในบางราย.ซึ่งยาตัวนี้ ขนาดยาที่ใช้ ไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน และเมื่อทานยาไปแล้วอาการปวดไม่ทุเลาลง สามารถทานซ้ำอีกครั้งเมื่อเวลาผ่านไป 4-6 ชั่วโมง.พออ่านมาถึงตรงนี้ เหมือนจะดีเลย ระงับปวดไมเกรนหนักๆ ได้ แล้วทำไมต้องระวังติดด้วยนะ?!&nbsp;นั่นก็เพราะเจ้าตัวยา Tramadol หรือยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ (Opioids) นี้ เป็นที่รู้จักกันชื่อของอนุพันธ์ของฝิ่น และด้วยของฤทธิ์ของสารกลุ่มนี้จะเข้าไปกดประสาททำให้ผู้ใช้รู้สึก เคลิบเคลิ้ม บรรเทาอาการเจ็บปวด.และเมื่อมีประวัติการใช้ยาติดต่อกันมากกว่า 10 วันต่อเดือน และต่อเนื่องมากกว่า 3 เดือน จะทำให้มีความต้องการปริมาณยาที่เพิ่มขึ้น จนเกิดอาการติดยาแก้ปวดได้ เราเรียกภาวะนี้ว่า Medication overuse headache (MOH).วันนี้ทีมสไมล์ ไมเกรน จะมีวิธีสังเกตอาการของตัวเองง่ายๆ ว่าเรามีภาวะติดยาแก้ปวดร่วมด้วยหรือไม่?&gt; ตื่นมาตอนเช้าก็ปวด&gt; ปวดหัวบ่อยขึ้น&gt; มีแนวโน้มไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวด&gt; อาการปวดจะดีขึ้นเมื่อทานยา แต่พอยาหมดฤทธิ์ อาการปวดก็จะกลับมาเหมือนเดิม&gt; ปวดแม้จะไม่มีสิ่งกระตุ้น&gt; มีประวัติใช้ :ยาแก้ปวดในกลุ่มจำเพาะไมเกรน มากกว่า 10 วันต่อเดือน ติดต่อกันเกิน 3 เดือนหรือยาแก้ปวดที่ไม่จำเพาะกับไมเกรน มากกว่า 15 วันต่อเดือน ติดต่อกันเกิน 3 เดือน.หากชาวไมเกรนคนไหนเริ่มมีภาวะติดยาแก้ปวดกลุ่มนี้แล้ว และต้องการถอนยา การหักดิบเลย อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีเลย การถอนยาควรที่จะทำภายใต้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากในวันแรกๆของการถอนยา ระดับอาการปวดศีรษะ อาจจะค่อนข้างสูงได้&nbsp;.เราจะมาดูกันว่าขั้นตอนการถอนยาแก้ปวด มีกระบวนการยังไงบ้างนะ?<ol><li>หยุดทานยาแก้ปวดตัวที่ติด เป็นระยะเวลาประมาณ 7-10 วัน</li><li>แพทย์จ่ายยายาแก้ปวดสเตียรอยด์ระยะสั้น เพื่อระงับกระบวนการปวด เป็นระยะเวลา 7 วัน</li><li>ทานยาป้องกันไมเกรนในกลุ่มมาตรฐานควบคู่ เพื่อลดความไวของสมอง และลดความไวต่อสิ่งกระตุ้น ต่อเนื่อง 4-6 เดือน</li></ol>.และแพทย์บางรายอาจจะมีการพิจารณาในเรื่องของจ่ายยาแก้ปวดสเตียรอยด์ระยะสั้นร่วมด้วย เพื่อระงับกระบวนการปวด&nbsp;.แอดมินแนะนำปรึกษาคุณหมอเฉพาะทางระบบประสาทและสมองเพื่อความปลอดภัย หรือสามารถทำนัดปรึกษาแพทย์ออนไลน์มาที่แอปพลิเคชันสไมล์ไมเกรนก็ได้เช่นกันนะชาวไมเกรน.&nbsp;เรามี แอปพลิเคชัน “ Smile Migraine” เป็นตัวช่วยได้แล้ววันนี้ทั้งระบบ iOS และ Android &gt;&gt; http://onelink.to/3xys9f<a href="https://onelink.to/fq5kra"><img src="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/Footer_Tele_Blog_Ai_7_4cc2a1f1a5/Footer_Tele_Blog_Ai_7_4cc2a1f1a5.png" alt="Footer Tele Blog - Ai (7).png" srcset="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Ai_7_4cc2a1f1a5/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Ai_7_4cc2a1f1a5.png 245w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/small_Footer_Tele_Blog_Ai_7_4cc2a1f1a5/small_Footer_Tele_Blog_Ai_7_4cc2a1f1a5.png 500w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/medium_Footer_Tele_Blog_Ai_7_4cc2a1f1a5/medium_Footer_Tele_Blog_Ai_7_4cc2a1f1a5.png 750w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/large_Footer_Tele_Blog_Ai_7_4cc2a1f1a5/large_Footer_Tele_Blog_Ai_7_4cc2a1f1a5.png 1000w," sizes="100vw" width="1000px"></a> &nbsp;

Tramadol เป็นยาแก้ปวดในกลุ่มโอปิออยด์ ที่สามารถระงับอาการปวดไมเกรนระดับปานกลางถึงรุนแรงได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม การใช้ยา Tramadol ติดต่อกันนานกว่า 10 วันต่อเดือน ติดต่อกันนานกว่า 3 เดือน อาจทำให้เกิดภาวะติดยาได้

Tramadol ใช้ไม่ถูกระวังติด

<h1>น้ำมะพร้าวช่วยไมเกรนได้ยังไงบ้าง</h1>&nbsp;น้ำมะพร้าว ประกอบไปด้วยน้ำ ถึง 94% ซึ่งน้ำมะพร้าวประกอบไปด้วยตัวแร่ธาตุที่เยอะมากๆ ไม่ว่าจะ โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม&nbsp;ด้วยปริมาณน้ำที่เยอะถึง 94% จึงมีงานวิจัย ได้ให้ผู้เข้าร่วมงานวิจัย นำน้ำมะพร้าวมาดื่มหลังออกกำลังเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ผลงานวิจัยพบว่า น้ำมะพร้าวสามารถชดเชยการสูญเสียน้ำหลังออกกำลังกายได้ เท่าๆกับการดื่มน้ำเปล่า&nbsp;นอกจากนั้น อย่างที่เราทราบๆกันว่า ชาวไมเกรนมักจะมีปริมาณแมกนีเซียมในร่างกายที่ต่ำ เมื่อดื่มน้ำมะพร้าว ตัวน้ำมะพร้าวนั้น มีระดับปริมาณแมกนีเซียมที่สูง จึงมีความเชื่อกันว่า ถ้าทานเป็นประจำทุกวัน จะช่วยลดความถี่ในการเกิดไมเกรนได้&nbsp;มากไปกว่านั้น ตัวแมกนีเซียมจะไปช่วยป้องกันการเกิดสัญญาณ Cortical spreading depression (CSD) เป็นสัญญาณที่ทำให้เกิดอาการออร่า (aura) ได้ ไม่ว่าจะออร่าทางตา ตาพร่า ตามัว ตาเห็นแสง หรือแม้กระทั่งมีอาการชาบริเวณปลายมือปลายเท้าร่วมด้วยนั่นเอง&nbsp;

น้ำมะพร้าว ประกอบไปด้วยน้ำ ถึง 94% ซึ่งน้ำมะพร้าวประกอบไปด้วยตัวแร่ธาตุที่เยอะมากๆ ไม่ว่าจะ โพแทสเซียม แมกนีเซียม แคลเซียม

น้ำมะพร้าว ช่วยไมเกรนได้

การใช้ความเย็นจากเจลเย็นเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดไมเกรน ซึ่งมีเหตุผลทางการแพทย์ที่สนับสนุนการใช้ความเย็นเพื่อช่วยลดอาการปวดหัวนี้<h2>ทำไมความเย็นถึงช่วยบรรเทาไมเกรนได้?</h2>ไมเกรนเกิดจากการขยายตัวของเส้นเลือดในสมองและการอักเสบ ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดหัวรุนแรง การใช้ความเย็นช่วยให้เส้นเลือดหดตัวและลดการอักเสบ&nbsp;&nbsp;&nbsp;<h2>ประโยชน์ของการใช้เจลเย็นในการลดไมเกรน</h2>&nbsp;<ul><li>ลดอาการปวดได้รวดเร็ว: เจลเย็นสามารถลดอาการปวดไมเกรนภายในไม่กี่นาทีหลังจากการใช้งาน โดยเฉพาะเมื่อวางบนบริเวณที่มีอาการปวด</li></ul>&nbsp;<ul><li>ปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียง: การใช้เจลเย็นไม่มีผลข้างเคียงเหมือนกับการใช้ยา จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวิธีธรรมชาติในการบรรเทาอาการ</li></ul>&nbsp;<ul><li>สะดวกและง่ายต่อการใช้งาน: เจลเย็นมีขนาดเล็ก พกพาง่าย และสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้โดยการแช่ในตู้เย็นหรือช่องฟรีซ</li></ul>&nbsp;<h2>วิธีการใช้เจลเย็นในการบรรเทาไมเกรน</h2><ol><li>แช่เจลเย็นในช่องฟรีซ: แช่เจลเย็นในช่องฟรีซอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมงก่อนใช้งาน เพื่อให้เจลเย็นเต็มที่และสามารถใช้งานได้นาน</li><li>วางเจลเย็นบนจุดที่ปวด: เมื่อเริ่มมีอาการไมเกรน ให้นำเจลเย็นวางบริเวณหน้าผาก ขมับ หรือด้านหลังคอ ขึ้นอยู่กับจุดที่รู้สึกปวด.</li><li>ระยะเวลาที่เหมาะสม: ใช้เจลเย็นนานประมาณ 10-15 นาที และสามารถทำซ้ำได้ทุกๆ 30 นาทีหากจำเป็น</li><li>ระวังไม่ให้ผิวถูกความเย็นเกินไป: ควรห่อเจลเย็นด้วยผ้าบางๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังสัมผัสกับความเย็นโดยตรง ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือผิวไหม้จากความเย็นได้</li></ol><h2>คำแนะนำเพิ่มเติม</h2><ul><li>ควรมีเจลเย็นพร้อมใช้งานในตู้เย็นเสมอ เพื่อความสะดวกเมื่อต้องการใช้</li><li>พักผ่อนในสถานที่เงียบสงบและลดการใช้สายตาขณะใช้เจลเย็น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการ</li></ul>&nbsp;การใช้เจลเย็นเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการไมเกรน โดยไม่ต้องพึ่งยา การดูแลสุขภาพอย่างดีควบคู่ไปกับวิธีนี้จะช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการได้อย่างยั่งยืน

ไมเกรนเกิดจากการขยายตัวของเส้นเลือดในสมองและการอักเสบ ซึ่งทำให้เกิดอาการปวดหัวรุนแรง การใช้ความเย็นช่วยให้เส้นเลือดหดตัวและลดการอักเสบ

ประคบเย็นช่วยบรรเทาไมเกรนได้อย่างไร 

ทำไมการทานยาแก้ปวดให้เหมาะกับความรุนแรงถึงสำคัญ?นั่นก็เพราะ เลี่ยงการเกิดการติดยาแก้ปวด ไม่ใช้ยาแก้ปวดบางตัวเกินความจำเป็นหรือแม้แต่ลดการเกิดผลข้างเคียงพกไว้ติดกระเป๋าได้เลย ยา 3 ตัว สำหรับทานเมื่อปวดน้อย กลาง มาก เรามาดูนิยามแต่ละระดับกันก่อน


หลักการรักษาไมเกรน

<h2>การใช้เกณฑ์ ICHD ใน Smile Migraine เพื่อการประเมินและจัดการอาการไมเกรน</h2>ไมเกรนเป็นความปวดศีรษะที่พบบ่อยและทำให้เกิดความพิการ ในการศึกษา Global Burden of Disease ปี 2010 พบว่าไมเกรนเป็นความผิดปกติที่พบมากเป็นอันดับ 3 ของโลก และในปี 2015 พบว่าเป็นสาเหตุของความพิการที่มากเป็นอันดับ 3 ในผู้ชายและผู้หญิงที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปีทั่วโลก เพื่อให้การวินิจฉัยและการรักษาไมเกรนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ Smile Migraine ได้นำเกณฑ์การวินิจฉัยไมเกรนตามมาตรฐานสากล International Classification of Headache Disorders (ICHD) มาใช้ในระบบซึ่งช่วยให้การประเมินและจัดการอาการของผู้ป่วยไมเกรนมีความแม่นยำและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;<h2>การใช้ ICHD ในการวินิจฉัยเบื้องต้น</h2>แอปพลิเคชัน Smile Migraine ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถบันทึกอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างละเอียด เช่น ความถี่และระยะเวลาของอาการปวดศีรษะ อาการร่วม และปัจจัยกระตุ้น ระบบจะนำข้อมูลเหล่านี้มาเปรียบเทียบกับเกณฑ์การวินิจฉัยไมเกรนตาม ICHD เพื่อให้การวินิจฉัยเบื้องต้นว่าอาการที่เกิดขึ้นตรงกับไมเกรนหรือไม่หากผลการวินิจฉัยเบื้องต้นพบว่าอาการตรงกับเกณฑ์ไมเกรน ผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำในการจัดการอาการ เช่น การใช้ยาบรรเทาอาการ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการป้องกันอาการกำเริบ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการได้ดีขึ้น&nbsp;&nbsp;<h2>ICHD มีงานวิจัยรองรับในการมาอ้างอิงในการวินิจฉัย</h2>มีผลงานวิจัยหลายชิ้นที่ใช้เกณฑ์ ICHD ในการประเมินและวินิจฉัยไมเกรน ดังนี้:<ol><li>การศึกษาเปรียบเทียบเกณฑ์การวินิจฉัย 1.2 Migraine with aura ใน ICHD-3 beta กับเกณฑ์ใน Appendix พบว่าเกณฑ์ใน Appendix สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างไมเกรนกับ transient ischemic attacks ได้ดีกว่า</li></ol>&nbsp;2. การศึกษาลักษณะร่วมใหม่ใน criterion C1 สำหรับ 3.1 Cluster headache เช่น facial flushing และ aural fullness พบว่าไม่ช่วยในการวินิจฉัยแยกโรค จึงถูกรวมไว้ใน Appendix ของ ICHD-3 เพื่อการศึกษาเพิ่มเติม2. การศึกษาภาวะ Medication-overuse headache (MOH) ในผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่น พบความชุกต่ำกว่าผู้ใหญ่ และมักใช้ยาแก้ปวดธรรมดา แต่การรักษามักได้ผลดีกว่าผู้ใหญ่จะเห็นได้ว่าการใช้เกณฑ์ ICHD ช่วยให้การวินิจฉัยไมเกรนและภาวะที่เกี่ยวข้องมีความแม่นยำและเป็นมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิจัยและการรักษาผู้ป่วยไมเกรน&nbsp;&nbsp;<h2>การปรึกษาแพทย์ออนไลน์ผ่าน TeleMigraine</h2>นอกจากการวินิจฉัยเบื้องต้นแล้ว ผู้ป่วยยังสามารถใช้ฟีเจอร์ TeleMigraine ในการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางไมเกรนได้โดยตรงผ่านแอปพลิเคชันโดยแพทย์จะใช้ข้อมูลที่ผู้ป่วยบันทึกไว้ในการวินิจฉัยและให้คำแนะนำเพิ่มเติม เช่น การปรับเปลี่ยนการรักษา การส่งตรวจเพิ่มเติม หรือการส่งพบแพทย์เฉพาะทางอื่นๆการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลานัดหมายและเดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดศีรษะรุนแรงหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล&nbsp;&nbsp;<h2>การติดตามอาการและการรักษาด้วย E-Migraine Diary</h2>ผู้ป่วยสามารถใช้ไดอารี่ไมเกรนออนไลน์ในแอปพลิเคชัน Smile Migraine เพื่อบันทึกอาการและการรักษาได้อย่างต่อเนื่องข้อมูลที่บันทึกไว้จะช่วยให้แพทย์สามารถติดตามความก้าวหน้าของการรักษา ปรับเปลี่ยนแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม และประเมินประสิทธิภาพของการรักษาได้อย่างแม่นยำการบันทึกข้อมูลอย่างสม่ำเสมอยังช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจอาการของตนเองดีขึ้น สามารถระบุปัจจัยกระตุ้นและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันอาการกำเริบได้ ซึ่งจะช่วยให้การจัดการอาการไมเกรนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น&nbsp;&nbsp;&nbsp;<h2>ประโยชน์ของการใช้ ICHD ใน Smile Migraine</h2>การนำเกณฑ์ ICHD มาใช้ใน Smile Migraine ช่วยให้การวินิจฉัยและการจัดการไมเกรนมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้ป่วยสามารถบันทึกอาการและได้รับการประเมินอย่างละเอียดตามมาตรฐานสากล และสามารถปรึกษาแพทย์ออนไลน์ได้โดยตรง ซึ่งทำให้ผู้ป่วยไมเกรนสามารถจัดการกับโรคของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นนอกจากนี้ ข้อมูลที่บันทึกไว้ในระบบยังช่วยให้แพทย์สามารถติดตามและวิเคราะห์แนวโน้มของโรคในระดับประชากรได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนและพัฒนาระบบบริการสุขภาพสำหรับผู้ป่วยไมเกรนในอนาคตไมเกรนเป็นความปวดศีรษะที่พบบ่อยและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก การใช้เกณฑ์ ICHD ในระบบ Smile Migraine ช่วยให้การวินิจฉัยและการจัดการอาการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ป่วยสามารถบันทึกอาการ ปรึกษาแพทย์ออนไลน์ และติดตามการรักษาได้อย่างสะดวกและต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการได้ดีขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในที่สุด อ้างอิง &nbsp; - <a href="https://ichd-3.org/appendix/a3-trigeminal-autonomic-cephalalgias-tacs/a3-1cluster-headache-alternative-criteria/">https://ichd-3.org/appendix/a3-trigeminal-autonomic-cephalalgias-tacs/a3-1cluster-headache-alternative-criteria/</a> <a href="https://ichd-3.org/appendix/a3-trigeminal-autonomic-cephalalgias-tacs/a3-1cluster-headache-alternative-criteria/">- https://ichd-3.org/appendix/a3-trigeminal-autonomic-cephalalgias-tacs/a3-1cluster-headache-alternative-criteria/</a>) <a href="https://www.jhsnet.net/pdf/point_01.pdf">- https://www.jhsnet.net/pdf/point_01.pdf</a>)

เพื่อให้การวินิจฉัยและการรักษาไมเกรนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกณฑ์การวินิจฉัยไมเกรนตามมาตรฐานสากล International Classification of Headache Disorders (ICHD)  จะช่วยให้การประเมินและจัดการอาการของผู้ป่วยไมเกรนมีความแม่นยำและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น

การใช้ ICHD ในการประเมินและจัดการอาการไมเกรน

การฝังเข็มแบบแห้ง (Dry Needle Tab) มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อและไมเกรน โดยกำหนดเป้าหมายไปที่จุดกระตุ้นเพื่อบรรเทาอาการปวดและความตึงเครียด ส่งเสริมการบรรเทาอาการปวดและการตอบสนองของกล้ามเนื้อ&nbsp;&nbsp;การใช้เข็มแบบแห้งสามารถลดอาการแพ้ ปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหว และเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของจุดกระตุ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่แพทย์จะต้องระบุจุดกระตุ้นอย่างแม่นยำเพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เทคนิคนี้แตกต่างจากการฝังเข็ม โดยเป็นการบำบัดที่มีคุณค่าในการจัดการกับไมเกรนและอาการปวดกล้ามเนื้อ โดยช่วยบรรเทาและปรับปรุงการทำงานของกล้ามเนื้อ&nbsp;การฝังเข็มแบบแห้งช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณกล้ามเนื้อโดยกำหนดเป้าหมายไปที่จุดกระตุ้นเพื่อลดความเจ็บปวดและปรับปรุงการทำงานของกล้ามเนื้อ มันสามารถ&nbsp;<ul><li>ลดอาการแพ้บริเวณส่วนปลายและส่วนกลาง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการปวดกล้ามเนื้อมัดเล็ก</li><li>ลดความเจ็บปวดเฉพาะที่และอาการปวดส่งต่อ ปรับปรุงระยะการเคลื่อนไหว และเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางเคมีของจุดกระตุ้น</li><li>กระตุ้นการตอบสนองแบบกระตุกเฉพาะที่ ซึ่งแพทย์บางคนคิดว่าเป็นส่วนสำคัญของกลไกการรักษา</li></ul>&nbsp;อย่างไรก็ตาม ผลกระทบส่วนใหญ่เป็นระยะสั้นและขนาดเอฟเฟกต์จะปานกลางถึงเล็ก การใช้เข็มแห้งควรผสมผสานกับการรักษาอื่นๆ เช่น การออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไป และการบำบัดด้วยตนเอง แพทย์จะต้องได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดีเพื่อระบุจุดกระตุ้นอย่างแม่นยำและเข้าใจกายวิภาคที่เกี่ยวข้อง&nbsp;แหล่งที่มา [1] กล้ามเนื้อที่เจ็บปวดและอ่อนโยน: การใช้เข็มแห้งสามารถลดอาการกล้ามเนื้อมัดเล็กได้ ... https://www.jospt.org/doi/10.2519/jospt.2013.0505 [2] การใช้เข็มแห้งในการจัดการจุดกระตุ้นกล้ามเนื้อมัดเล็ก https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S0965229917303904 [3] ผลกระทบของการใช้ Dry Needling ต่อจุดกระตุ้นและความเจ็บปวดของ Myofascial ... https://www.mdpi.com/2075-4426/14/4/332 [4] การใช้เข็มแห้ง — ข้อควรพิจารณาเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่อพ่วงและส่วนกลาง - PMC - NCBI https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC3201653/ [5] การใช้เข็มแห้งแบบจุดกระตุ้นเพื่อรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ ... <a href="https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/31354339/">https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/31354339/</a>&nbsp;<a href="https://onelink.to/fq5kra"><img src="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/Footer_Tele_Blog_Ai_7_6739571488/Footer_Tele_Blog_Ai_7_6739571488.png" alt="Footer Tele Blog - Ai (7).png" srcset="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Ai_7_6739571488/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Ai_7_6739571488.png 245w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/small_Footer_Tele_Blog_Ai_7_6739571488/small_Footer_Tele_Blog_Ai_7_6739571488.png 500w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/medium_Footer_Tele_Blog_Ai_7_6739571488/medium_Footer_Tele_Blog_Ai_7_6739571488.png 750w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/large_Footer_Tele_Blog_Ai_7_6739571488/large_Footer_Tele_Blog_Ai_7_6739571488.png 1000w," sizes="100vw" width="1000px"></a>

การฝังเข็มแบบแห้งช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณกล้ามเนื้อโดยกำหนดเป้าหมายไปที่จุดกระตุ้นเพื่อลดความเจ็บปวดและปรับปรุงการทำงานของกล้ามเนื้อ

การฝังเข็มแห้ง รักษาไมเกรน Dry Needle Tab

<h1>ท่านอนที่ถูกต้อง ลดอาการปวดคอ บ่า ไหล่</h1> เคยเป็นกันไหม? ตื่นมามีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ บางครั้งมีร้าวขึ้นหัวด้วยหลายคนที่มีอาการปวดต้นคอ และปวดร้าวขึ้นหัว พบมากถึง 70% และยังเป็นอีก 1 สาเหตุที่ทำให้การนอนของชาวไมเกรนหลายๆคน มีปัญหาและไม่มีประสิทธิภาพ&nbsp;ชาวไมเกรนหลายๆ คน อาจจะยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว อาการดังกล่าวอาจจะเกิดมาจากท่านอนที่ไม่เหมาะสมของคุณก็เป็นได้เพียงแค่ปรับเปลี่ยนท่านอนที่ให้รองรับกับสรีระของร่างกายของเราเอง ก็จะสามารถช่วยทำให้อาการปวดดังกล่าวหายเป็นปลิดทิ้งได้นะ&nbsp;<h3>ท่านอนที่เหมาะสมสำหรับชาวไมเกรน</h3>จากการศึกษาพบว่า ท่านอนหงาย และ ท่านอนตะแคง เป็นท่านอนที่ดีที่สุดสำหรับชาวไมเกรน เนื่องจากช่วยให้กระดูกสันหลังส่วนคอถูกกดทับน้อยที่สุดและลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อคอ:<ul><li>ท่านอนหงาย: ควรใช้หมอนที่มีความสูงรองรับคอและพยุงหลังได้ดี</li><li>ท่านอนตะแคง: หมอนควรมีความสูงพอดีกับต้นคอและศีรษะ เพื่อให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรงตลอดคืน</li></ul>ในทางกลับกัน ท่านอนคว่ำ เป็นท่านอนที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะทำให้กระดูกสันหลังและคอไม่อยู่ในแนวตรง อาจทำให้ปวดคอและเกิดอาการไมเกรนรุนแรงขึ้นได้ &nbsp;<h3>เลือกหมอนที่เหมาะสมเพื่อบรรเทาอาการไมเกรน</h3>นอกจากท่านอนแล้ว การเลือกหมอนก็มีความสำคัญอย่างมาก จากการศึกษาพบว่า หมอนที่ไม่เหมาะสมอาจเป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นอาการไมเกรนได้ การเลือกหมอนที่รองรับกระดูกสันหลังและช่วยระบายความร้อนจึงเป็นสิ่งสำคัญ ทีม Smile Migraine ขอแนะนำทริคการเลือกหมอนง่ายๆ:<ul><li>ความสูงของหมอน: ควรเลือกหมอนที่สูงประมาณ 4-6 นิ้วเพื่อรองรับสรีระคอ</li><li>หมอนที่ระบายความร้อนได้ดี: หมอนที่ช่วยระบายความร้อนจะช่วยลดอาการไมเกรนจากความร้อนสะสม</li><li>หมอนที่รองรับส่วนเว้าของคอ: เลือกหมอนที่มีรูปทรงเหมาะสมเพื่อรองรับกระดูกสันหลังส่วนคอ &nbsp;</li></ul>มีงานวิจัยหนึ่ง ที่เขาได้ทำการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 106 คน โดยใช้หมอน 5 แบบ ในการทดลองนอนกับหมอนแต่ละแบบเป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ เพื่ออธิบายว่า หมอนที่กลุ่มตัวอย่างใช้หนุนนอนเป็นประจำนั้นมีผลต่อคุณภาพการนอนของพวกเขามากน้อยขนาดไหน เช่น มีอาการปวดตึง ปวดสะบัก ปวดหัว สะดุ้งตื่นในระหว่างคืน อาการเหล่านี้จะถูกรายงานเมื่อพบว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นมาจากหมอนเท่านั้น.ซึ่งจากผลการศึกษา พบว่า 42.5% ของกลุ่มตัวอย่างไม่มีปัญหาการตื่นนอนระหว่างคืน แต่อีกกว่า 50% มีรายงานว่ามีปัญหากับคุณภาพการนอนของพวกเขา โดยมักจะมีอาการสะดุ้งตื่นระหว่างคืน ใช้หมอนที่ไม่สะดวกสบาย อันส่งผลต่อการนอนหลับที่คุณภาพต่ำ นอกจากนี้ในกลุ่มที่มีปัญหาการนอนนี้ยังรายงานเพิ่มเติมว่า หมอนที่ไม่สะดวกสบายนี้ส่งผลต่อคุณภาพการนอนของพวกเขาอย่างมีนัยสำคัญ.สาเหตุหมอนเป็นตัวกระตุ้นไมเกรนได้ มีอะไรกันบ้าง# หมอนไม่สามารถรับส่วนเว้า โค้ง บริเวณคอได้อย่างเหมาะสม ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอบ่า ทำงานหนักมากขึ้น จนเกิดอาการปวดตามมา# หมอนระบายความร้อนไม่ดี จนเกิดความร้อนสะสม.โดยทีมสไมล์ ไมเกรน ได้รวบรวมทริคการเลือกหมอนง่ายๆ มาฝากกัน ดังนี้&gt; เลือกความสูงให้เหมาะสมกับสรีระคอ นั่นก็คือ 4-6 นิ้ว&gt; หมอนที่สามารถระบายความร้อนได้ดี&gt; เลือกให้ส่วนโค้งของหมอนรองรับกับกระดูกสันหลังส่วนคอ.นอกจากนั้น สิ่งสำคัญต้องดูว่าเราชอบนอนหงาย ตะแคง หรือคว่ำมากกว่ากันนอนหงาย : หมอนจะต้องนิ่มและไม่สูง มีการรองรับส่วนเว้าของกระดูกคอนอนตะแคง : หมอนสูง ช่วยเติมช่องว่างระหว่างศีรษะกับหมอนนอนคว่ำ : หมอนค่อนข้างแบน เพื่อให้ศีรษะและกระดูกส่วนคอ อยู่ระนาบเดียวกัน.หมอนที่ดีต้องช่วยลดไมเกรนได้ ลดอาการปวดคอบ่าไหล่ได้ อย่างหมอนสุขภาพ Millow&nbsp;<figure class="image"><img src="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/IMG_3109_f5c3762ce7/IMG_3109_f5c3762ce7.jpg" alt="IMG_3109.jpg" srcset="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/thumbnail_IMG_3109_f5c3762ce7/thumbnail_IMG_3109_f5c3762ce7.jpg 156w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/small_IMG_3109_f5c3762ce7/small_IMG_3109_f5c3762ce7.jpg 500w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/medium_IMG_3109_f5c3762ce7/medium_IMG_3109_f5c3762ce7.jpg 750w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/large_IMG_3109_f5c3762ce7/large_IMG_3109_f5c3762ce7.jpg 1000w," sizes="100vw" width="1000px"></figure>ตัวหมอนทำมาจาก Memory Foam จะเป็นหมอนที่เหมาะสมที่สุด เพราะรูปทรงของหมอนที่เข้ารูปกับลักษณะคอ เมื่อมีแรงกกดทับตัว Memory Foam จะค่อยๆ คืนตัวกลับเป็นรูปร่างเดิม และช่วยกระจายน้ำหนัก ทำให้ลดแรงกดทับเวลานอน สิ่งนี้จะช่วยให้รองรับสรีระการนอน ช่วยลดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ และหลังได้ดีเยี่ยม.และข้อแตกต่างของหมอนทั่วไปเปรียบเทียบกับ Memory Foam&nbsp; คือ หมอนทั่วไปเส้นใยจะยุบตัวได้ง่าย ความสูงของหมอนอาจไม่เหมาะกับสรีระร่างกาย เมื่อนอนแล้วไม่รองรับต้นคอ เพราะหมอนรูปทรงนี้จะยุบตัวทำมุมเอียงขึ้น ตำแหน่งของคอ บ่า ไหล่ จะอยู่ต่ำที่สุด ทำให้กระดูกต้นคอและสันหลังงอ.นอกจากนี้หมอนยังมี Cool Gel ช่วยเพิ่มความเย็น ประคบลดปวด กล้ามเนื้อที่เกร็งตัวคลายลง รู้สึกผ่อนคลายและหลับได้นานขึ้นนั่นเอง&nbsp;&nbsp;

ท่านอนหงายหรือตะแคงเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุดสำหรับลดอาการปวดคอ บ่า ไหล่ เนื่องจากจะช่วยจัดแนวกระดูกสันหลังให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ และลดแรงกดทับบริเวณคอ บ่า ไหล่

ท่านอนหงาย

วางหมอนใต้ศีรษะและคอ เพื่อรองรับส่วนโค้งของกระดูกสันหลัง
งอขาเล็กน้อยเพื่อให้สะโพกอยู่ในแนวเดียวกับไหล่
ท่านอนตะแคง

วางหมอนใต้ศีรษะและคอ เพื่อรองรับส่วนโค้งของกระดูกสันหลัง
งอขาข้างที่นอนให้งอเล็กน้อย
วางหมอนระหว่างขาเพื่อรองรับสะโพก
หากท่านอนในท่าที่ถูกต้องแล้ว แต่ยังมีอาการปวดคอ บ่า ไหล่อยู่ อาจต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่นๆ เช่น หลีกเลี่ยงการนั่งหรือยืนในท่าเดิมนานๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ

ท่านอนที่ถูกต้อง ลดอาการปวดคอ บ่า ไหล่

เราเชื่อเหลือเกินว่า กว่าครึ่งหนึ่งของชาวไมเกรนนี้ ต้องเคยมีประสบการณ์<ul><li>ปวดหัวไมเกรน</li><li>แล้วกินยาแก้ปวดไมเกรน</li><li>พอหมดฤทธิ์ยา มันก็เริ่มปวดอีก&nbsp;</li><li>แล้วกินยาแก้ปวดไมเกรน</li><li>พอหมดฤทธิ์ยา แล้วมันก็ปวดอีก</li></ul>วนแบบนี้เป็นวงกลม ช่วงแรกๆ เดือนหนึ่งก็อาจจะเป็น 1-2 ครั้ง&nbsp;แต่พอนานเข้าๆ มันกลับกลายเป็นถี่ขึ้น ถี่ขึ้น จนเป็นความเคยชิน กินแม่มมันทุกวันเลยบางทีไม่กินยาไมเกรนก็เริ่มกังวลใจแล้ว กลัวมันจะปวดขึ้นมาอีก ชีวิตจะยากหล่ะ.นี่คือสัญญาณเตือนว่า “คุณกำลังติดยาแก้ปวดไมเกรน” นะจ๊ะ.เอ้า ทำไมถึงปวดหล่ะ ในเมื่อยาแก้ปวดไม่ใช่สารเสพติดสักหน่อย จุดเริ่มต้นมันเป็นแบบนี้เดี๋ยว สไมล์ ไมกรน จะเล่าให้ฟัง.ก่อนอื่นเลย เราต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ยาแก้ปวด ใช้อย่างไรกันบ้าง<ol><li>ใช้เมื่อมีอาการปวดศีรษะเท่านั้น</li><li>&nbsp; รู้ข้อห้ามและข้อควรระวังของตัวยาแต่ละตัว</li><li>ควรรู้เรื่องผลข้างเคียงของตัวยาที่ทาน เช่น ระคายเคืองกระเพาะอาหาร อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ หรือแม้กระทั่งอัตราการเต้นของหัวใจเปลี่ยนแปลง</li><li>ไม่แนะนำให้ทานตัวยาแก้ปวดบ่อยเกิน 10 วันต่อเดือน หรือ 15 วันต่อเดือนในบางกลุ่ม ติดต่อกัน 3 เดือน เพราะจะทำให้เสี่ยงติดยาแก้ปวดได้</li></ol>.สำหรับยาแก้ปวดไมเกรนตัวที่ติดเนี้ยส่วนใหญ่เลยนะ จะมีส่วนผสมของเจ้าตัวที่ชื่อว่า “Ergotamine” ชาวไมเกรนลองกลับไป ดูส่วนประกอบของยาที่เราทานทุกวันๆ นี้ ในส่วนประกอบของยามีชื่อเจ้านี้อยู่หรือเปล่า ถ้าใช่ ให้ระมัดระวังในการทานให้ดีนะ&nbsp;.เพราะเจ้า Ergotamine นี้แหละที่ถูกใช้เป็นยาแก้ปวดกับผู้ป่วยไมเกรนมาตั้งแต่ปี 1862 ปกติน้องเป็นเชื้อราที่พบได้ในข้าวไรย์ (Rye).แต่ด้วยความที่เชื้อราตัวนี้ น้องมีฤทธิ์ในการช่วยให้หลอดเลือดหดตัว ซึ่งปกติเวลาปวดไมเกรนหลอดเลือดบนสมองของเราจะเกิดการอักเสบและขยายตัว ทำให้เกิดอาการปวดได้ ทีนี้น้องเข้าไปช่วยหลอดเลือดหดตัวได้ จึงเป็นที่มาว่าทำไมน้องช่วยลดปวดได้นั้นเอง.แต่ !!! ด้วยความที่น้องทำให้หลอดเลือดหดตัวนี้ มันไม่ได้หดแค่ตรงสมองที่ปวดอ่ะสิ น้องทำให้หลอดเลือดทั้งตัวหดจ้า ทั้งหลอดเลือดที่แขน ขา หลอดเลือดหัวใจ จึงทำให้คนไข้ไมเกรนที่ทานยาตัวนี้บ่อยๆ และเริ่มถี่ขึ้น จะมาพร้อมผลข้างเคียงอย่างชาปลายมือ ปลายเท้า มีการเปลี่ยนแปลงของอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตสูง&nbsp;.นอกจากนี้ ที่สำคัญเลยคือ น้องจะเข้าไปรบกวนการทำงานของสารสื่อประสาทในสมองที่เป็นกระบวนการรับรู้ความเจ็บปวด เกิดเป็นวงจรของอาการปวดหัวอย่างต่อเนื่องที่เกิดจากการใช้ยารักษาอาการปวดหัว ทางภาษาแพทย์เรียกว่า Medication Overuse Headache.ทั้งนี้ หากคนไข้เริ่มสังเกตว่า ตอนนี้ทานยาแก้ปวดไมเกรนบ่อยขึ้น ทานจนเกือบทุกวัน ทานแบบนี้ติดต่อกันมากกว่า 3 เดือนแล้ว และเริ่มมีอาการชาปลายมือปลายเท้า บางทีทานแค่หนึ่งเม็ดก็ไม่หาย ต้องทานโดสเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นั้นแสดงว่า คุณเริ่มมีอาการ “ติดยา” แก้ปวดเข้าแล้วหล่ะ.ซึ่งก็ไม่เป็นไรเลยนะ อย่าเพิ่งตีโพยตีพายว่า โอ้ย ! แล้วฉันจะทำอย่างไรหล่ะ ก็มันติดไปแล้ว ทุกปัญหามีทางออกเสมอ&nbsp;.ปกติการรักษาคนไข้ไมกรนที่มีภาวะร่วม คือติดยาแก้ปวด คุณหมอจะให้เรางดตัวยาแก้ปวดที่ติดอยู่ก่อน 5-7 วัน และทานยาแก้ปวดตัวอื่นแทน โดยเราเรียกกระบวนการนี้ว่า “กระบวนการถอนยา” แต่ทั้งนี้ แนะนำว่าต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางเท่านั้นนะ เนื่องจาก condition ของร่างกายแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีนี้อาจจะเวิคกับคนหนึ่ง แต่ก็อาจจะไม่เวิคกับอีกคนหนึ่งก็ได้&nbsp;.ทางที่ดีปรึกษาแพทย์ก่อนเข้าสู่กระบวนการถอนยาจะดีกว่า โดยปรึกษาได้ที่ Smile Migraine Application Link :<a href="http://onelink.to/3xys9f"> http://onelink.to/3xys9f</a> และกดจองคิวคุณหมอไมเกรนของเรา ซึ่งสามารถเลือกได้เลยนะ เพราะทุกท่านเป็นอาจารย์แพทย์ที่เชี่ยวชาญในการรักษาคนไข้ไมเกรนมากกว่า 1,000 เคสเลยหล่ะ&nbsp;<a href="https://onelink.to/fq5kra"><img src="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/Footer_Tele_Blog_Surat_5978791843/Footer_Tele_Blog_Surat_5978791843.png" alt="Footer Tele Blog - Surat.png" srcset="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Surat_5978791843/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Surat_5978791843.png 245w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/small_Footer_Tele_Blog_Surat_5978791843/small_Footer_Tele_Blog_Surat_5978791843.png 500w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/medium_Footer_Tele_Blog_Surat_5978791843/medium_Footer_Tele_Blog_Surat_5978791843.png 750w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/large_Footer_Tele_Blog_Surat_5978791843/large_Footer_Tele_Blog_Surat_5978791843.png 1000w," sizes="100vw" width="1000px"></a> &nbsp;&nbsp;

ไมเกรน เป็นโรคปวดศีรษะเรื้อรังที่พบได้บ่อย โดยมักมีอาการปวดรุนแรงข้างเดียว คลื่นไส้ อาเจียน แพ้แสง และเสียง ยาแก้ปวดไมเกรนเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวดไมเกรน แต่หากใช้บ่อยเกินไปอาจทำให้เกิดอาการ ติดยาแก้ปวดไมเกรน ตามมา

หยุดวงจรอุบาท วงจรติดยาแก้ปวด

<img src="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/migraine_at_work_8f2e3469c5/migraine_at_work_8f2e3469c5.png" alt="migraine-at-work.png" srcset="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/thumbnail_migraine_at_work_8f2e3469c5/thumbnail_migraine_at_work_8f2e3469c5.png 245w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/small_migraine_at_work_8f2e3469c5/small_migraine_at_work_8f2e3469c5.png 500w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/medium_migraine_at_work_8f2e3469c5/medium_migraine_at_work_8f2e3469c5.png 750w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/large_migraine_at_work_8f2e3469c5/large_migraine_at_work_8f2e3469c5.png 1000w," sizes="100vw" width="1000px">ไมเกรนเป็นโรคที่มีผลกระทบต่อสุขภาพนอกจากนี้ยังกระทบชิ่งไปยังประสิทธิภาพในการทำงาน ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการสำรวจคนวัยทำงานพบว่า ไมเกรนทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงกว่า 40% และอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องหยุดงานอันเป็นผลเนื่องจากปวดศีรษะไมเกรนลางานบ่อย ๆ หรือ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ดีแน่ เพราะอาจเป็นผลของการ สูญเสียงาน ได้ แม้ว่าจะมีหนังสือแนะนำวิธีการรักษาไมเกรนมากมาย กลับมีน้อยบทความที่แนะนำหรือกล่าวถึง “ถึงวิธีการรับมือกับไมเกรนที่เป็นอย่างเรื้อรัง และไม่สูญเสียอาชีพที่คุณทำอยู่”&nbsp;ไม่ว่าลักษณะอาชีพที่คุณทำอยู่นั้นจะเป็นแบบไหน ทั้งเวลา สถานที หรือทักษะความสามารถพิเศษ ของคุณคืออะไร จากข้อมูลของงานวิจัยไมเกรน 90% ของผู้ป่วยไมเกรนกล่าวว่า พวกเขาไม่สามารถทำงานได้ตามปกติในระหว่างการปวดหัวไมเกรน นั่นเป็นจำนวนที่เยอะมาก แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า แล้ว 10% ของคนที่เป็นไมเกรน แล้วยังทำงานได้ปกตินั้นเป็นใครคนที่เป็นไมเกรนไม่กระทบกับงาน บางทีเราอาจมองอีกมุมได้ว่า หรือว่า จริง ๆ แล้ว การทำงานนั้นมันไม่ได้กระตุ้น หรือไม่ได้ไปกระทบกับไมเกรนกันแน่ วันนี้ เรามาดูวิธีในการปรับงาน หรือ เลือกงาน ที่ไม่กระทบกับไมเกรนกัน&nbsp;<h1>5 วิธีที่จะช่วยให้คุณมีอาชีพที่รัก แม้จะเป็นไมเกรน</h1><h2>1. ค้นหาความยืดหยุ่น</h2>คุณอาจจะคิดว่า งานคือชีวิต แต่หากงานนั้นมีข้อจำกัดในเวลาที่มากไปในการทำงานที่มีมีผลกระทบต่อไมเกรน เจ้าโรคร้ายก็กระทบกับชีวิตของคุณเช่นกัน&nbsp;การเลือกงานที่มีความยืดหยุ่นสูงก็เป็นทางเลือกหนึ่ง&nbsp;เลือกงานที่จ่ายเงินให้คุณ ตามคุณภาพของงาน ไม่ใช่งานที่บังคับให้คุณทำเป็นเวลา 9 โมเงเช้า ถึง 5 โมงเย็น คือการมองหาบบริษัทที่จ่ายเงินตามผลสำเร็จของงานที่คุณได้รับมอบหมายนั้นเอง เช่น นักเขียน โปรแกรมเมอร์ พนักงานขาย พนักงานบริการลูกค้าและอื่น ๆ มีความยืดหยุ่นที่ดี แต่อาชีพอื่นๆเช่น พนักงานออฟฟิศ, พนักงานค้าปลีก พนักงานร้านอาหาร คนงานในโรงงาน ทั่วไปแล้ว เราพบว่า อาจทำให้ไมเกรนกำเริบบ่อยขึ้น และไม่หายสักที&nbsp;“คุณเอม อดีตพนักงานขายสาวชาวไมเกรนที่ทำงานร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่งได้เล่าให้ฟังว่า ในช่วงนั้น ไมเกรนเป็นบ่อยมาก ๆ ไม่ว่าจะไปหาหมอให้รักษาด้วยยามากมาย แต่อาการก็ไม่ลดลงเสียที ในที่สุดก็ต้องกลับมาสังเกตตัวเองและพบว่า การทำงานที่เป็นกะ ไม่ตรงเวลาชีวิตของคนปกติ มันเป็นตัวกระตุ้น ปัจจุบัน คุณเอม ประกอบอาชีพค้าขายส่วนตัว ที่มีเวลาทำงานเป็นเวลา มีความสุขทั้งชีวิต ควบคุมได้ และไมเกรน ไม่ค่อยมาเยือน”<h2> 2. รวมทีม</h2>เจ้าของกิจการเล็กๆ และคนทำงานอิสระ ไม่มีแผนสำรองเมื่อพวกเค้ามีอาการปวดไมเกรน แนะนำว่า ให้หางานที่มีเพื่อนร่วมงานของคุณนั้นสามารถทำงานแทนคุณได้ หรือช่วยเหลือคุณได้ในบางส่วนตัวอย่างคุณหน่อย ที่ป็นครูประถมชั้นปีที่ 1 เมื่อเธอปวดไมเกรน มันจะทำให้เธอไม่สามารถสอนนักเรียนได้เลย เธอเลยเปลี่ยนเป็นสอนเด็กอนุบาลแทน ซึ่งทางโรงเรียนก็อนุมัติให้เธอสอนแบบทีมได้ ร่วมกับคุณครูท่านอื่น เมื่อเธอมีอาการปวดไมเกรน เธอก็สามารถเลือกให้เพื่อนมาช่วยงานได้ แล้วเมื่อเธอหายปวดไมเกรน เธอก็ค่อยไปสอนคาบที่หายไปแทน<h2>3. ปรับเปลี่ยนพื้นที่การทำงานของคุณ</h2>เจ้านายของคุณไม่ต้องการให้คุณป่วยและต้องลางาน คุณเองก็สามารถขอความช่วยเหลือจากเขาเพื่อให้ช่วยลดสิ่งกระตุ้นไมเกรนได้ เช่น แสง เสียง กลิ่น ความร้อน ความชื้น เป็นต้น&nbsp;&nbsp;คุณเจนเพื่อนร่วมงานชาวไมเกรนของฉันเป็นตัวอย่างที่ดี&nbsp; เขาไม่ลังเลที่จะเปลี่ยนหลอดฟลูออเรสเซนต์ที่แสงจ้ามาก ที่เป็นตัวกระตุ้นทำให้เขาปวดไมเกรน ให้เป็นแสงไฟที่อ่อนลง เพื่อที่ช่วยให้เขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นนะ บางทีการใส่ใจสิ่งแวดล้อม ก็มีผลนะ&nbsp;<h2> 4. หางานที่มีสวัสดิการทางสุขภาพที่ดี&nbsp;</h2>งานทุกตำแหน่ง และของทุกบริษัท แม้ว่าจะมีลักษณะงานเหมือนกัน แต่ว่า การดูสวัสดิการ โดยเฉพาะในด้านสุขภาพ ถือว่าสำคัญ ไมเกรนเป็นโรคที่ต้องรักษาต่อเนื่อง ยาไมเกรนก็มีหลายแบบ หลายชนิด และแน่นอน ยาที่มีประสิทธิภาพสูง บางทีมันก็ไม่สามารถได้รับการเยียวยาจากบางบริษัทได้&nbsp;ในสายงานข้าราชการ ที่มีสวัสดิการของรัฐ เป็นสวัสดิการที่มีความยอดเยี่ยม รวมถึง ในบริษัทใหญ่ ๆ อีกด้วย เพราะการมีพื่นฐานการดูแลสุขภาพที่ดี ทำให้คุณสามารถเข้าถึงยาและหมอที่เก่ง ๆ ได้ คุณจะกังวลในการดูแลสุขภาพน้อยลง&nbsp;<h2>5. CEO ต้องเข้าใจ</h2>หากคุณเป็นพนักงานที่ต้องอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของหัวหน้างาน ต้องบอกให้เค้าเข้าใจว่า เราเป็นไมเกรน ไมเกรนไม่ใช่โรคที่เลวร้ายและน่ารังเกียจ ใคร ๆ ก็เป็นได้ เหมือน ออฟฟิตซินโดรม ที่มีอาการปวดเรื้อรัง และสัมพันธ์กับการทำงานหนัก&nbsp;บอก CEO ว่า มีโรคไมเกรน ที่อยู่ในสภาวะไหน ทำให้มีความเข้าใจ และมันก็ทำให้เราปลดความเครียดด้วย CEO มากมายที่คอยช่วยเหลือลูกน้องอย่างเห็นอกเห็นใจ และมันก็ทำให้เราทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเป็นรางวัลตอบแทน<a href="https://onelink.to/fq5kra"><img src="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/Footer_Tele_Blog_Ai_6_9c8fdbe1c2/Footer_Tele_Blog_Ai_6_9c8fdbe1c2.png" alt="Footer Tele Blog - Ai (6).png" srcset="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Ai_6_9c8fdbe1c2/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Ai_6_9c8fdbe1c2.png 245w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/small_Footer_Tele_Blog_Ai_6_9c8fdbe1c2/small_Footer_Tele_Blog_Ai_6_9c8fdbe1c2.png 500w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/medium_Footer_Tele_Blog_Ai_6_9c8fdbe1c2/medium_Footer_Tele_Blog_Ai_6_9c8fdbe1c2.png 750w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/large_Footer_Tele_Blog_Ai_6_9c8fdbe1c2/large_Footer_Tele_Blog_Ai_6_9c8fdbe1c2.png 1000w," sizes="100vw" width="1000px"></a>

ไมเกรนเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในคนวัยทำงาน ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานและอาจทำให้ต้องลางานบ่อยครั้ง บทความนี้นำเสนอ 5 วิธีในการปรับงานหรือเลือกงานที่ไม่กระทบกับไมเกรน

เป็นไมเกรน รับมืออย่างไร ไม่ให้สูญเสียงาน

<h1>ยาแก้ปวด เป็นยาที่หลายๆคนต้องมีอย่างแน่นอน เพราะมันเป็นสามัญประจำบ้าน แต่การใช้ยาแก้ปวด ไม่ใช่ว่าเราจะกินพร่ำเพรื่อได้ตามใจ เพราะบางครั้ง มันอาจจะเกิดผลกระทบต่อร่างกายได้เช่นกัน</h1>.<h2>ยาแก้ปวดแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่&nbsp;</h2><ol><li>ยาแก้ปวดทั่วไป ได้แก่ &nbsp;ยา acetaminophen, ยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ได้แก่ แอสไพริน (aspirin), ไอบูโพรเฟน (ibuprofen), นาพรอกเซน (naproxen), ไดโคฟีแนคโพแทสเซียม (diclofenac potassium) และ ยาแก้ปวดกลุ่มโอปิออยด์ (opioids)</li><li>ยาแก้ปวดจำเพาะไมเกรน ได้แก่ ยาเออร์โกตามีน (ergotamine) และยากลุ่มทริปแทน (triptan) ซึ่งในประเทศไทยมี 2 ชนิด ได้แก่ ซูมาทริปแทน (sumatriptan) และ อีลิทริปแทน (eletriptan) เป็นชนิดรับประทาน</li><li>ยาแก้ปวดกลุ่มอื่นๆ ได้แก่ ยากลุ่มสเตียรอยด์ (steroid) ตัวอย่างยาเช่น เพรดนิโซโลน (prednisolone)</li></ol>.<h2>การเลือกใช้ยาแก้ปวด ใครบ้างที่ควรระวังเป็นพิเศษ&nbsp;</h2><ul><li>หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร</li><li>มีประวัติการแพ้ยา</li><li>มีโรคประจำตัว : โรคตับ โรคไต โรคหัวใจ</li><li>มีประวัติความดันโลหิตสูง</li><li>มีประวัติเป็นแผลในกระเพาะอาหาร</li><li>อายุต่ำกว่า 16 ปี หรือมากกว่า 65 ปี</li></ul>.จุดประสงค์ของการใช้ยาแก้ปวด นั่นก็คือ ให้อาการปวดศีรษะหายไป ทุเลาอาการที่เกิดขึ้นได้มากที่สุด และกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติแต่การใช้ยาแก้ปวดบ่อยๆ ถี่ๆ&nbsp;หรือใช้ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน สามารถทำให้เกิดผลเสีย ผลข้างเคียงต่อร่างกายได้ความถี่ในที่นี้ หมายความว่า ผู้ป่วยคนนั้น เริ่มทานยาแก้ปวดด้วยความถี่ที่มากกว่า 2 วันต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 10 วันต่อเดือน.<h2>กินยาแก้ปวดบ่อย เสี่ยงเกิดอะไรกับร่างกายของเราบ้าง?</h2><ul><li>เสี่ยงเกิดภาวะติดยาแก้ปวด (Medication overuse headache: MOH) ทำให้มีอาการปวดหัวซ้ำๆ ในทุกๆ วัน และไม่ค่อยตอบสนองต่อการทานยาแก้ปวด</li><li>ในคนที่ทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ ตัวยาเช่น Naproxen (นาพรอกเซน), Ibuprofen (ไอบูโพรเฟน) อาจเกิดกระเพาะอาหารเป็นแผล</li><li>โรคกรดไหลย้อน</li><li>ความดันโลหิตสูงขึ้น อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โดยเฉพาะในยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ถึง 32% เนื่องมาจากตัวยาสามารถทำให้เกิดการคั่งของน้ำในร่างกาย</li><li>ค่าไตสูง ไตทำงานหนัก ไตวาย เพราะตัวยาแก้ปวด อาจทำให้เกิด ภาวะบวมน้ำ โพแทสเซียมในเลือดสูงได้</li><li>มีผลทางด้านอารมณ์ เช่น อารมณ์แปรปรวน ซึมเศร้า วิตกกังวล</li></ul>.กรณีทานยาแก้ปวดในกลุ่มจำเพาะกับไมเกรนบ่อย ที่ชื่อ เออร์โกตามีน (ergotamine) ตัวยาเช่น Tofago, Cafergot, Avamigran, Migana&nbsp;.ซึ่งตัวยา มีหน้าที่ทำให้หลอดเลือดที่ขยายตัวผิดปกติเกิดการหดตัวลงและทำให้อาการปวดศีรษะหายไปในที่สุดผู้ป่วยที่ใช้ยาแก้ปวดในกลุ่มนี้บ่อย พึงระมัดระวังอีกหนึ่งภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้ เราเรียกว่า ภาวะ ergotism<h2>ภาวะ ergotism&nbsp;</h2>คือภาวะที่จะทำให้การไหลเวียนเลือดส่วนปลายของเราลดลง เนื่องจากตัวยาจะทำให้หลอดเลือดเกิดการหดตัวค้างไว้<h3>อาการภาวะ ergotism&nbsp;</h3><ul><li>อาการชาที่ปลายมือ ปลายเท้า&nbsp;</li><li>อาจมีภาวะเนื้อตายตามมาในที่สุด&nbsp;</li></ul>อุบัติการณ์นี้ เกิดได้ประมาณ 0.001-0.002% ถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างต่ำ แต่สามารถเกิดได้เพราะฉะนั้น การพิจารณาใช้ยาแก้ปวด ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มยาแก้ปวดทั่วไป กลุ่มยาแก้ปวดจำเพาะกับไมเกรน และยาแก้ปวดกลุ่มอื่นๆ ควรที่จะได้รับการแนะนำจากแพทย์ก่อนใช้ตัวยาทุกครั้ง.&nbsp;และตัวผู้ป่วยเองควรจะทราบ ผลข้างเคียงของตัวยาทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมไปถึงปริมาณการใช้ยาที่เหมาะสมในแต่ละครั้ง เพื่อที่จะลดโอกาสการเกิดผลเสียต่อร่างกาย และทำให้เกิดประสิทธิภาพการรักษาสูงที่สุดแหล่งที่มา :<a href="https://www.versusarthritis.org/about-arthritis/treatments/drugs/painkillers-and-nsaids/">https://www.versusarthritis.org/about-arthritis/treatments/drugs/painkillers-and-nsaids/</a> <a href="https://onelink.to/fq5kra"><img src="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/Footer_Tele_Blog_Ai_53e1150c3d/Footer_Tele_Blog_Ai_53e1150c3d.png" alt="Footer Tele Blog - Ai.png" srcset="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Ai_53e1150c3d/thumbnail_Footer_Tele_Blog_Ai_53e1150c3d.png 245w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/small_Footer_Tele_Blog_Ai_53e1150c3d/small_Footer_Tele_Blog_Ai_53e1150c3d.png 500w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/medium_Footer_Tele_Blog_Ai_53e1150c3d/medium_Footer_Tele_Blog_Ai_53e1150c3d.png 750w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/large_Footer_Tele_Blog_Ai_53e1150c3d/large_Footer_Tele_Blog_Ai_53e1150c3d.png 1000w," sizes="100vw" width="1000px"></a>&nbsp;

อันตรายจากยาแก้ปวดไมเกรน เสี่ยงหลอดเลือดหด

<h1>สมุนไพร&nbsp; Butterbur และ Feverfew ช่วยลดไมเกรน</h1>วันนี้ทีมสไมล์ ไมเกรน จะพาชาวไมเกรนทุกคนมาทำความรู้จักกับสมุนไพรจากต่างประเทศซึ่งมีงานวิจัยได้บอกไว้ว่า สามารถลดไมเกรนได้จริง และมีการนำมาใช้ในการรักษาโรคไมเกรน มาหลายสิบปี.โดยเราจะเริ่มมาทำความรู้จักกับหนึ่งสมุนไพรที่ชื่อ “Feverfew” กันก่อน&nbsp;<figure class="image"><img src="https://cdn.shopify.com/s/files/1/0571/1806/4733/files/LINE_ALBUM_2022.12.22_480x480.jpg?v=1671693271" alt=""></figure>สมุนไพรตัวนี้เป็นพืชที่อยู่ในตระกูลดอกเดซี่ ที่สามารถช่วยรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรน ลดอาการคลื่นไส้อาเจียนและเวียนศีรษะได้.ในช่วงหลายศตวรรษ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1980 ต่างประเทศมีการนำ Feverfew มาใช้ในการรักษาไมเกรนอย่างแพร่หลาย โดยมีการนำมาทดลองกับคนไข้ไมเกรนจำนวน 270 คน โดยมีการให้ทานตัวสมุนไพร Feverfew สด เฉลี่ยวันละ 2-3 ใบ.ผลพบว่า อาการปวดศีรษะไมเกรน ดีขึ้นมากถึง 70%จากงานวิจัยในหลอดทดลอง พบว่า สารประกอบที่อยู่ใน feverfew ไม่ว่าจะเป็น parthenolide และ tanetin สามารถช่วยลดการสร้าง prostaglandin ที่มีส่วนในการสร้างกระบวนการอักเสบ ซึ่งนำมาให้สู่อาการปวดศีรษะไมเกรนนั่นเอง หรือเราเรียกว่าช่วง “Migraine attack”.และมีงานวิจัยในชาวไมเกรนมากถึง 4 ใน 6 การศึกษาพบว่า ตัว feverfew สามารถช่วยลดความถี่และความรุนแรงของอาการปวดศีรษะไมเกรนได้.ซึ่งปริมาณในการทานตัว feverfew เราจะทานครั้งละประมาณ 100-300 มิลลิกรัมต่อวัน และวันละประมาณ 3 ครั้งต่อวัน ซึ่งจะเป็นปริมาณที่หลายๆงานวิจัยบอกแล้วว่า มีประสิทธิภาพในการป้องกันไมเกรนมากที่สุด.และจากรายงานในต่างประเทศ ตัวสมุนไพร Feverfew มีประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่นๆ ด้วย<ul><li>&nbsp;สามารถลดกระบวนการอักเสบ มีผลทำให้ลดปวดได้</li><li>มีการศึกษาในหนู พบว่าสามารถลดอาการวิตกกังวลได้ แต่ยังคงต้องมีการนำไปศึกษาในมนุษย์อย่างละเอียดต่อไป</li></ul>.แล้วการที่เราทานตัว Feverfew จะมีผลข้างเคียงอะไรกับร่างกายด้วยไหมนะ?!สามารถพบผลข้างเคียงได้ ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆ จะมีในเรื่องของท้องเสีย ท้องผูก คลื่นไส้ มึนงงและบางรายอาจมีพบอาการร้อนกลางอกได้.ต่อไป เราจะมาทำความรู้จักกับอีกหนึ่งสมุนไพร ที่ชื่อ Butterbur นี่มันคืออะไรกัน?Butterbur เป็นพืชจากยุโรป ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับดอกเดซี่<figure class="image"><img src="https://cdn.shopify.com/s/files/1/0571/1806/4733/files/LINE_ALBUM_2022_0.12.22_480x480.jpg?v=1671693280" alt=""></figure>ซึ่งใน Butterbur มีสารประกอบสำคัญที่มีชื่อว่า Petasin ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารตัวนี้จะช่วยลดการเกิดกระบวนการอักเสบ ทำให้กล้ามเนื้อของเราผ่อนคลายมากขึ้น รวมไปถึงจะทำให้การไหลเวียนเลือดบริเวณสมองดีขึ้นนั่นเอง.ในปี 2012 ทาง American Migraine Academy ได้ออกมาแนะนำว่า สามารถนำ Butterbur มารักษาและป้องกันโรคปวดศีรษะไมเกรนได้.ซึ่งใน Butterbur บางชนิด จะมีสารเคมีที่เรียกว่า pyyolizidine alkaloids (PAs) ซึ่งสามารถทำลายตับได้ เวลาที่เราจะใช้ เราต้องเลือกผลิตภัณฑ์ ที่เขียนว่า ปราศจากสาร PAs (PA-free).จากงานวิจัย มีการนำ Butterbur ไปรักษาในผู้ป่วยจำนวน 108 คน โดยให้ทานอย่างต่อเนื่องทุกวัน ประมาณ 50-150 มิลลิกรัม หลังจากนั้นประมาณ 4 เดือน ผลงานวิจัยพบว่า 77% ผู้ป่วยที่เข้าร่วมการศึกษา ความถี่ของอาการปวดไมเกรน ลดลงมากกว่า 50%.ผลข้างเคียงจากการทานตัวสมุนไพร Butterbur สามารถเจอผลข้างเคียงอะไรได้บ้าง?<ul><li>เรอ&nbsp;</li><li>คันบริเวณดวงตา</li><li>ท้องไส้ปั่นป่วน&nbsp;</li><li>อ่อนล้า&nbsp;</li><li>กระสับกระส่าย</li></ul>.ข้อควรระวังในการใช้มีในกลุ่มไหนบ้างล่ะ?<ul><li>ชาวไมเกรนที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร</li><li>ชาวไมเกรนทีมีโรคตับร่วมด้วย</li></ul>.การใช้สมุนไพรเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะสามารถป้องกันไมเกรนได้ แต่ยังไงยังมีข้อควรระวังที่ควรจะศึกษาให้ละเอียดก่อนการใช้งานร่วมด้วยนะชาวไมเกรน.ถ้าใครไม่มั่นใจ แต่อยากใช้ สามารถสอบถามกับทางแพทย์หรือเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญได้เลย&nbsp;

สมุนไพร Butterbur และ Feverfew เป็นสมุนไพรที่โตในต่างประเทศ นิยมนำมารักษาอาการปวด บวม และลดกระบวนการอักเสบ มีนักวิจัยได้ทำการศึกษาไว้ว่า สมุนไพร Butterbur และ Feverfew สามารถรักษาโรคปวดศีรษะไมเกรนได้

Butterbur และ Feverfew ช่วยไมเกรนได้จริงไหม?

"ไมเกรน" เป็นโรคที่แม้ไม่ได้ทำให้ถึงแก่ชีวิต แต่กลับสร้างผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของชาวไมเกรนเป็นอย่างมาก บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจวิธีเลือกยาแก้ปวดไมเกรนให้เหมาะกับระดับความรุนแรง รวมถึงข้อควรระวังในการใช้ยาแก้ปวดไมเกรนแต่ละชนิด ให้รู้เท่าทันยาแก้ปวด

ยาแก้ปวดไมเกรน เลือกอย่างไรให้ใช่กับเรา?

<h1>Lady Gaga กับเส้นทางชีวิตที่เป็นไมเกรนตั้งแต่อายุ 14</h1>&nbsp;”I was so glad I found relief. I wondered if other people could have the same experience I have. I’m so grateful to my family, friends, and fans for going on this journey with me throughout the years so I can share my story and hopefully it will help more people find the relief they need.”Lady Gaga&nbsp;&nbsp;“ฉันรู้สึกดีใจมากที่ฉันได้พบกับหนทางที่จะช่วยให้ประสบการณ์ไมเกรนของฉันที่เป็นอยู่ดีขึ้น ฉันรู้สึกขอบคุณครอบครัว เพื่อน และแฟนๆ ของฉันที่ได้ร่วมเดินทางมาด้วยกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา เพื่อที่ฉันจะได้แบ่งปันเรื่องราว ประสบการณ์ของฉันให้แก่ผู้คน และหวังอย่างยิ่งว่าสิ่งนี้จะช่วยให้คนอื่น ๆ พบกับความสุข ความแฮปปี้ อย่างที่พวกเขาต้องการเช่นกัน”เลดี้ กาก้า&nbsp;จาก Speech ของเลดี้ ก้าก้า หรือชื่อจริง Stefani Joanne Angelina Germanotta นักร้อง นักแต่งเพลง ชาวอเมริกัน ที่มีชื่อเสียงระดับโลก หลายคนรู้จักเธอด้วยผลงานเพลง Poker Face" และ "Bad Romance" โดยความสำเร็จของเธอนั้น การันตรีด้วยรางวัลมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Academy Award, Gloden Globe และ Grammy นอกจากงานในวงการบันเทิงแล้ว เธอยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมและการกุศลมากมาย&nbsp;แต่ภายใต้เบื้องหลังความสำเร็จของผลงานเพลงของเธอนี้ เลดี้ กาก้าได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรนเมื่ออายุ 14 ปี เธอกล่าวว่าอาการไมเกรนของเธอจะเกิดขึ้นประมาณเดือนละครั้งในช่วงแรก แต่เมื่อเธออายุ 25 ปี เธอกลับมีอาการร่วมอื่นๆ พร้อมๆ กับการเกิดไมเกรน ตอนนั้นทำให้เธอทำงานแทบไม่ได้เลย&nbsp;“ประสบการณ์ไมเกรนของฉัน ไมเกรนทำร่างกายฉันอ่อนแอลง ฉันจะต้องนอนบนเตียงเป็นเวลาหลายวัน ที่มีทั้งอาการปวดศีรษะ ปวดเบ้าตา ร้าวไปทั่วใบหน้า” เลดี กาก้า กล่าว&nbsp;&nbsp;นอกจากนี้เธอยังกล่าวเสริมอีกว่า “ฉันไม่สามารถเปิดไฟในห้องเพื่ออ่านหนังสือได้เลย ฉันทำได้เพียงอยู่ลำพังในห้องที่เงียบสงบเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนบางทีอาจกินเวลาต่อเนื่องไปหลายวัน จนกว่าความเจ็บปวดนี้จะลดลง”&nbsp;“เมื่อเวลาผ่านไป อาการร่วมที่ฉันประสบมาเริ่มดีขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่แทบไม่ดีขึ้นเลย คือ ไมเกรน ฉันพบว่าอาการไมเกรนของฉันมันทำให้ฉันเกิดความเครียด และยิ่งมีความเครียดทุกอย่างก็ดูแย่ลงสำหรับฉัน ฉันพบว่าฉันตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัวไมเกรนในหลายวันต่อสัปดาห์ มันเป็นวงจรที่ไม่มีวันสิ้นสุด และฉันก็ไม่รู้ว่ามันจะไปจบที่ตรง ฉันไม่สามารถบอกได้เลยว่าฉันไปพบแพทย์มาแล้วกี่ครั้ง”&nbsp;แต่หลังจากที่เธอได้ทดลองใช้ยารักษาไมเกรน Rimegepant และพบว่ามันช่วยให้อาการไมเกรนของเธอดีขึ้น โดยที่เธอไม่จำเป็นต้องใช้ยาเสพติดหรือยาแก้ปวดที่อันตราย เธอจึงรู้สึกขอบคุณ ครอบครับ เพื่อน และแฟนคลับของเธอที่ช่วยสนับสนุนเธอเรื่อยมา และหวังว่าประสบการณ์ที่เธอได้ถ่ายทอดในครั้งนี้จะช่วยให้ชาวไมเกรน หรือคนที่ประสบปัญหาเดียวกับเธอได้รู้สึกมีความหวัง และอาการดีขึ้นเช่นเดียวกับเธอ&nbsp;โดยเธอยังกล่าวเสริมอีกว่า “ครั้งแรกที่ฉันได้ลองใช้ยา Rimegepant ฉันจำได้ว่า ฉันคิดว่าทำไมเราไม่เจอกันให้เร็วกว่านี้ อาการไมเกรนของฉันดีขึ้น ซึ่งฉันก็ไม่มั่นใจนะว่าคนอื่นที่ได้ลองจะมีประสบการณ์เดียวกันกับฉันหรือเปล่า แต่ฉันรู้สึกขอบคุณคนรอบข้างที่ยังคอยสนับสนุนฉัน ขอบคุณทีมพัฒนาที่ช่วยทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นมา ฉันดีใจมาก ที่สามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่มีอาการปวดหรือต้องเพิ่งพาสิ่งอื่นที่อาจเป็นอันตรายให้ร่างกายฉันในอนาคตอีก” - Lady Gaga &nbsp;ดังนั้น จะเห็นได้ว่า “ไมเกรน” ที่ทำให้แม้แต่เลดี้ กาก้า ซึ่งเป็นศิลปินระดับโลกที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ต่างก็ผ่านการรับมือกับอาการไมเกรนเช่นเดียวกับเราๆ ชาวไมเกรน การเดินทางของเธอเต็มไปด้วยความท้าทายและความเจ็บปวด แต่เธอไม่ยอมแพ้ และได้พบวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับเธอเองซึ่ง เลดี้ กาก้าแสดงให้เห็นว่าการที่เราต่อสู้กับอาการปวดไมเกรนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความหวังและการสนับสนุนจากครอบครัว เพื่อน และแฟนคลับรอบตัวเธอ สามารถทำให้เธอผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากได้&nbsp;สำหรับครที่กำลังเผชิญกับอาการไมเกรน คำแนะนำจากเลดี้ กาก้า สไมล์ว่า เป็นกำลังใจที่ดีให้เราไม่ยอมแพ้ในการหาทางออกในการรักษาที่เหมาะสมกับเรา แต่อย่าลืมว่า ความหวังและความเชื่อมั่นในอนาคตที่ดีขึ้นยังคงอยู่เสมอ สู้ๆ แล้วเราจะเจอทางรักษาของเราที่เหมาะสมและที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราเองเช่นเดียวกับเลดี้ กาก้าจากบทเรียนของเธอ เราสามารถเรียนรู้ว่า ไม่มีความเจ็บปวดหรือปัญหาใดที่ไม่มีทางออก ขอให้ทุกคนมีความหวังและก้าวต่อไปในการหาทางรักษาที่เหมาะสม เพื่อให้ชีวิตกลับมามีความสุขและยิ้มได้เช่นเดิมอีกครั้ง.Smile again, Pain away, Smile Migraine Team จองคิวตรวจรักษา ที่ แอปฯ Smile Migraine : <a href="https://onelink.to/fq5kra?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTAAAR3ezW-Zhow9v7GW6f4zMiHtlyajjYcovipAbDp64kk2HwPZN-221HwtSko_aem_AQ2_NErrs3h3JnXqVtKd190yw6xJ2CjjZVLJTfNFOuLrJA-5pg_p_wAxmmVoOlCc0c-1Fp1dfntQuLK4bdCg1Bl6">https://onelink.to/fq5kra</a> หรือปรึกษาผ่าน LINE Add : @sm-clinic (มี @ ข้างหน้า) &nbsp;

ภายใต้เบื้องหลังความสำเร็จของผลงานเพลงของเธอนี้ เลดี้ กาก้าได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรนเมื่ออายุ 14 ปี เธอกล่าวว่าอาการไมเกรนของเธอจะเกิดขึ้นประมาณเดือนละครั้งในช่วงแรก แต่เมื่อเธออายุ 25 ปี เธอกลับมีอาการร่วมอื่นๆ พร้อมๆ กับการเกิดไมเกรน ตอนนั้นทำให้เธอทำงานแทบไม่ได้เลย

Lady Gaga กับเส้นทางชีวิตที่เป็นไมเกรนตั้งแต่อายุ 14

<h1>Rimegepant เป็นยาใหม่ที่ใช้ในการรักษาไมเกรน ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ป่วยและแพทย์เนื่องจากประสิทธิภาพและความสามารถในการลดความถี่ของการเกิดไมเกรน</h1>Smile Migraine เราได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยเพื่อประเมินความพึงพอใจและประสิทธิภาพของยา บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้ Rimegepant ผลข้างเคียง และประสบการณ์ของผู้ป่วยในการสำรวจครั้งนี้ ผู้ป่วยทั้งหมด 18 คนเข้าร่วม โดยมีอายุเฉลี่ย 38.5 ปี คำถามในแบบสอบถามครอบคลุมประเด็นต่างๆ เช่น เหตุผลในการเลือกใช้ยา การตอบสนองต่อการรักษา และผลข้างเคียงที่พบ.<h2>เหตุผลหลักที่เลือกใช้ Rimegepant ดังนี้</h2><ol><li>ต้องการทดลองยาใหม่: ผู้ป่วย 5 คนสนใจลองใช้ยาใหม่</li><li>แพทย์แนะนำ: ผู้ป่วย 3 คนเริ่มใช้ตามคำแนะนำของแพทย์</li><li>ยาอื่นไม่ค่อยได้ผล: ผู้ป่วย 3 คนมีประสบการณ์การตอบสนองที่ไม่ดีจากยาอื่น</li></ol><h2>ประสิทธิภาพและการตอบสนอง</h2>Rimegepant มีประสิทธิภาพในการรักษาไมเกรนได้ดี โดยผู้ป่วยที่ใช้ยารายงานการตอบสนองเฉลี่ยดังนี้<ul><li>การใช้เป็นยาแก้ปวด: อัตราการตอบสนองเฉลี่ย 78%</li><li>การใช้เป็นยาป้องกัน: อัตราการตอบสนองเฉลี่ย 61%</li></ul><h2>ความพึงพอใจโดยรวม</h2>ผู้ป่วยให้คะแนนความพึงพอใจของ Rimegepant ที่ 7.05 จาก 10 คะแนน แสดงถึงประสบการณ์ที่ดี โดยมีผู้ป่วยบางรายรายงานผลข้างเคียง แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดเพิ่มเติมนับตั้งแต่การเปิดตัว Rimegepant ที่ Smile Migraine ในเดือนพฤษภาคม 2024 มีผู้ป่วยทั้งหมด 58 คนที่ใช้ยา โดยแยกเป็น:<ul><li>การใช้เป็นยาป้องกัน: 28 คน (46%)</li><li>การใช้เป็นยาแก้ปวด: 30 คน (54%)</li><li>การเปลี่ยนจากการใช้ยาแก้ปวดไปเป็นยาป้องกัน: 5 คน</li></ul>จากพฤษภาคมถึงกรกฎาคม 2024 มีการจ่ายยา Rimegepant ทั้งหมด 901 เม็ด โดยจำนวนผู้ป่วยที่ใช้ยามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน:<ul><li>พฤษภาคม: 14 คน</li><li>มิถุนายน: 33 คน</li><li>กรกฎาคม: 35 คน</li></ul>จำนวนผู้ป่วยใหม่และการจ่ายยาในแต่ละเดือนก็เพิ่มขึ้น แสดงถึงความเชื่อมั่นและการยอมรับที่เพิ่มขึ้นใน Rimegepantสำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาใช้ Rimegepant ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาว่ายานี้เหมาะสมกับสภาพของตนเองหรือไม่ การเข้าใจถึงประโยชน์และความเสี่ยงของยาเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจหากคุณเป็นผู้ป่วยไมเกรนที่กำลังมองหาทางเลือกใหม่ ๆ ลองปรึกษาแพทย์ที่ Smile Migraine เรามุ่งมั่นที่จะสนับสนุนผู้ป่วยของเราในการเดินทางสู่สุขภาพที่ดีและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

Smile Migraine เราได้รวบรวมข้อมูลจากผู้ป่วยเพื่อประเมินความพึงพอใจและประสิทธิภาพของยา บทความนี้จะนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการใช้ Rimegepant ผลข้างเคียง และประสบการณ์ของผู้ป่วย

ผลการสำรวจ Rimegepant ยารักษาไมเกรนใหม่ล่าสุด

การเลือกหมอนที่เหมาะสมมีความสำคัญต่อการนอนหลับและสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีอาการไมเกรน หมอนที่ไม่เหมาะสมสามารถกระตุ้นอาการปวดหัวได้ เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การรองรับคอและการระบายความร้อนที่ไม่ดี ซึ่งอาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอทำงานหนักขึ้นและเกิดอาการปวดตามมา&nbsp;&nbsp;<h2>สาเหตุที่หมอนกระตุ้นไมเกรน</h2><ul><li>การรองรับไม่เหมาะสม: หมอนที่ไม่สามารถรองรับส่วนเว้าของคอได้อย่างเหมาะสมอาจทำให้เกิดความตึงเครียดในกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่า ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัว</li><li>การระบายความร้อนไม่ดี: หมอนที่ไม่สามารถระบายความร้อนได้ดีอาจทำให้เกิดความร้อนสะสม ซึ่งสามารถกระตุ้นอาการไมเกรนได้</li></ul>&nbsp;<h2>เทคนิคการเลือกหมอนที่เหมาะสม</h2>เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดไมเกรน ควรพิจารณาเลือกหมอนตามเทคนิคดังนี้:<ol><li>ความสูงของหมอน: ควรเลือกหมอนที่มีความสูงประมาณ 4-6 นิ้ว เพื่อรองรับสรีระของคออย่างเหมาะสม</li><li>การระบายความร้อน: ควรเลือกหมอนที่มีคุณสมบัติในการระบายความร้อนได้ดี เพื่อป้องกันความร้อนสะสม</li><li>รูปทรงที่รองรับกระดูกสันหลัง: หมอนควรมีส่วนโค้งที่สามารถรองรับกระดูกสันหลังส่วนคอได้ดี</li><li>พิจารณาท่านอน:</li></ol>การเลือกหมอนที่เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการนอนหลับและลดอาการไมเกรนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณมีอาการปวดคอและบ่าบ่อยครั้ง ควรพิจารณาว่าหมอนที่ใช้อยู่เหมาะสมกับสรีระของคุณหรือไม่ การเลือกหมอนที่ดีจะช่วยให้คุณนอนหลับสบายและตื่นขึ้นมาโดยไม่มีอาการปวดหัว.<ul><li>นอนหงาย: หมอนควรนิ่มและไม่สูงมาก โดยต้องรองรับส่วนเว้าของกระดูกคอ</li><li>นอนตะแคง: หมอนควรสูงพอสมควรเพื่อเติมช่องว่างระหว่างศีรษะกับหมอน</li><li>นอนคว่ำ: หมอนควรแบนเพื่อให้ศีรษะและกระดูกคออยู่ในแนวเดียวกัน</li></ul>&nbsp;<img src="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/Millow_4500_c6893afe04/Millow_4500_c6893afe04.jpg" alt="Millow - 4500.jpg" srcset="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/thumbnail_Millow_4500_c6893afe04/thumbnail_Millow_4500_c6893afe04.jpg 156w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/small_Millow_4500_c6893afe04/small_Millow_4500_c6893afe04.jpg 500w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/medium_Millow_4500_c6893afe04/medium_Millow_4500_c6893afe04.jpg 750w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/large_Millow_4500_c6893afe04/large_Millow_4500_c6893afe04.jpg 1000w," sizes="100vw" width="1000px">&nbsp;รูปทรง Butterfly Shape เป็นรูปทรงที่ถูกออกแบบมา เพื่อรองรับการโค้งของสรีระกล้ามเนื้อบริเวณหัว คอ บ่า ไหล่ ในทุกอริยาบถของการนอน ลดการตึงตัว/เกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้ผ่อนคลายและหลับได้นานขึ้น&nbsp;<a href="https://lin.ee/dIhRFvo"><img src="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/Millow_20500_6402262e44/Millow_20500_6402262e44.png" alt="Millow - 20500.png" srcset="https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/thumbnail_Millow_20500_6402262e44/thumbnail_Millow_20500_6402262e44.png 245w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/small_Millow_20500_6402262e44/small_Millow_20500_6402262e44.png 500w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/medium_Millow_20500_6402262e44/medium_Millow_20500_6402262e44.png 750w,https://storage.googleapis.com/smile-migraine-image-public-prod/strapi-cms/large_Millow_20500_6402262e44/large_Millow_20500_6402262e44.png 1000w," sizes="100vw" width="1000px"></a>

สำหรับผู้ที่มีอาการไมเกรน หมอนที่ไม่เหมาะสมสามารถกระตุ้นอาการปวดหัวได้ เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ

หมอนแก้ปวดหัวได้ วิธีเลือกหมอนให้ถูกสรีระ

<h1>ความสำคัญของการรู้จักสมองและวิธีการฝึกสมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวา เพิ่มประสิทธิภาพการคิด ความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานของสมองโดยรวม ด้วยกิจกรรมที่หลากหลายและการออกกำลังกายที่เหมาะสม</h1><h2>&nbsp;</h2><h2>การทำงานของสมอง : ความสำคัญและวิธีการฝึกเพื่อพัฒนาสมรรถภาพสมอง</h2>&nbsp;<h2>รู้จักเซลล์ประสาทและการทำงานของสมอง&nbsp;</h2>สมองประกอบด้วยเซลล์ประสาทจำนวนมากกว่า 1,000 ล้านเซลล์ ที่มีการแบ่งหน้าที่และฟังก์ชั่นการทำงานระหว่างกันอย่างชัดเจน การศึกษาสมองผ่านการทดลองและการสังเกตสมองที่เสียหายจากอุบัติเหตุหรือโรคหลอดเลือดสมอง (stroke) ช่วยให้เราเข้าใจการทำงานของสมองและการทำงานที่จำเพาะของมัน<h2>ความสำคัญของการรู้จักสมอง&nbsp;</h2>การเข้าใจการทำงานของสมองมีประโยชน์หลายประการ แม้ว่าเราจะไม่ใช่หมอโรคสมอง การรู้จักสมองช่วยให้เรารู้ว่าเรามีสมองฝั่งไหนที่เด่นและด้อย การรู้จักสมองช่วยให้เราสามารถฝึกฝนสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความสามารถและศักยภาพในการคิดและการทำงาน<h2>ความสามารถของสมองซีกซ้ายและซีกขวา</h2><ul><li>สมองซีกซ้ายควบคุมคำพูด การคิดเชิงนามธรรม และการควบคุมด้านขวาของร่างกาย</li><li>สมองซีกขวาควบคุมการประมวลผลภาพ การรับรู้เชิงพื้นที่ และการประสานงานของด้านซ้ายของร่างกาย</li></ul><h2>วิธีฝึกสมองซีกซ้าย</h2><ul><li>การคิดเชิงตรรกะ: ไขปริศนา เช่น ซูโดกุหรือเกมลอจิก เพื่อพัฒนาทักษะการคิดเชิงตรรกะและการแก้ปัญหา</li><li>ทักษะทางภาษา: ฝึกการอ่าน การเขียน และการอภิปรายเพื่อปรับปรุงความสามารถในการเข้าใจภาษาและการสื่อสาร</li><li>ความสามารถทางคณิตศาสตร์: ทำงานกับปัญหาทางคณิตศาสตร์และสมการเพื่อเสริมสร้างทักษะการใช้เหตุผลเชิงตัวเลขและการวิเคราะห์</li><li>งานที่ใช้ตรรกะ: มีกิจกรรมที่ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำทีละขั้นตอน เช่น การทำอาหารหรือการประกอบเฟอร์นิเจอร์</li><li>แบบฝึกหัดเกี่ยวกับความจำ: ใช้อุปกรณ์ช่วยจำหรือเกมความจำเพื่อเพิ่มการจดจำและการเรียกคืน</li></ul><h2>วิธีฝึกสมองซีกขวา</h2><ul><li>แบบฝึกหัดความคิดสร้างสรรค์: กิจกรรมทางศิลปะ เช่น การวาดภาพหรือการประดิษฐ์</li><li>เทคนิคการแสดงภาพ: แบบฝึกหัดการแสดงภาพ เช่น การจินตนาการถึงฉากที่สดใส</li><li>ดนตรีและจังหวะ: เล่นเครื่องดนตรี เต้นรำ หรือฟังเพลง</li><li>การจดจำรูปแบบ: แก้ปริศนาด้วยภาพ เช่น ตัวต่อจิ๊กซอว์</li><li>การฝึกสติ: การทำสมาธิแบบมีสติหรือการฝึกหายใจเข้าลึก ๆ</li></ul><h2>วิธีฝึกสมองให้ทำงานประสานกันอย่างสมดุล</h2><ul><li>การเคลื่อนไหวข้ามด้านข้าง: กิจกรรมที่ต้องมีการเคลื่อนไหวประสานกัน เช่น โยคะหรือไทเก๊ก</li><li>กิจกรรมแบบสองภารกิจ: การรวมกิจกรรมที่มีส่วนร่วมกับซีกโลกทั้งสองไปพร้อมๆ กัน เช่น การฟังเพลงขณะวาดภาพ</li><li>แอปฝึกสมอง: ใช้แอปฝึกสมองหรือแพลตฟอร์มออนไลน์</li><li>การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น การออกกำลังกายแบบแอโรบิก</li></ul>ด้วยการรวมกิจกรรมที่หลากหลายเข้ากับกิจวัตรประจำวัน คุณสามารถฝึกและเสริมสร้างสมองซีกโลกทั้งสองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนำไปสู่ความสามารถในการรับรู้ที่ดีขึ้น ความคิดสร้างสรรค์ที่เพิ่มขึ้น และการทำงานของสมองโดยรวมดีขึ้น&nbsp;สมองเราที่คุมทุกอย่าง ก็มีประโยชน์ที่เราจะรู้หน้าที่ เพื่อเราจะได้ส่งเสริมการทำงานและคุณค่าของมัน&nbsp; &nbsp;

ความสำคัญของการรู้จักสมองและวิธีการฝึกสมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวา เพิ่มประสิทธิภาพการคิด ความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานของสมองโดยรวม ด้วยกิจกรรมที่หลากหลายและการออกกำลังกายที่เหมาะสม

วิธีฝึกสมอง ทั้ง 2 ซีก ทำได้ง่ายๆที่บ้าน

ค้นหาวิธีรักษาไมเกรนและเคล็ดลับในการบรรเทาอาการปวดหัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการดูแลตัวเอง การใช้ยา และวิธีธรรมชาติ ที่จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจมากขึ้น

แหล่งข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาไมเกรนด้วยบทความแนะนำเกี่ยวกับยาจาก SmileMigraine  คุณจะค้นพบคำแนะนำเชิงลึก, การวิจัยล่าสุด, และความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับตัวเลือกการรักษาที่หลากหลายสำหรับปวดหัวไมเกรน ไม่ว่าคุณจะกำลังมองหาข้อมูลเกี่ยวกับยาใหม่ๆ, วิธีการรักษาทางเลือก, หรือต้องการเข้าใจเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยา, บล็อกของเรามีข้อมูลที่ครอบคลุมและอัปเดตเสมอ เรียนรู้วิธีการจัดการกับไมเกรนอย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มคุณภาพชีวิตของคุณผ่านการเข้าถึงข้อมูลยาที่เชื่อถือได้และรองรับด้วยวิทยาศาสตร์

รับข่าวสาร หรือวิธีรับมือไมเกรน ใหม่ทุกสัปดาห์

รับข่าวสาร
หรือวิธีรับมือไมเกรน ใหม่ทุกสัปดาห์