ทีมสไมล์ไมเกรน ขอแชร์อีกสองแนวทางการรักษาไมเกรน ซึ่งถือว่าเป็นการรักษาแบบทางเลือก ทั้งในเรื่องของครอบแก้วและฝังเข็ม ที่ในปัจจุบัน นิยมนำมารักษาควบคู่กับการทานยาแก้ปวดและยาป้องกันไมเกรนอย่างต่อเนื่อง
.
การรักษาแบบครอบแก้วและฝังเข็ม มีวิธีการทำและประโยชน์ยังไงกันบ้าง มาดูเลย!
.
เรามาเริ่มทำความเข้าใจกันก่อนว่า “ครอบแก้ว” มันคืออะไรกันนะ?!
การครอบแก้ว (Cupping therapy) คือ การนำถ้วยแก้วมาวางไว้บนผิวหนัง และมีการใช้ความร้อนให้แก้วดูดตัวกล้ามเนื้อและผิวหนังขึ้นมา ทำให้เส้นเลือดบริเวณนั้นเกิดการขยายตัว และทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีมากขึ้น จนเกิดผลการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ
.
ซึ่งตามศาสตร์จีน ได้บอกไว้ว่า ความร้อนจากไฟจะช่วยขับไล่ความเย็นที่อยู่ในเส้นลมปราณ เพราะเขาเชื่อว่า ความเย็นจะทำให้การไหลเวียนเลือดในร่างกายเกิดการติดขัด และนำมาสู่อาการปวดนั่นเอง
การครอบแก้วสามารถรักษาได้หลายโรค ทั้งในเรื่องของระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบกระดูกข้อและระบบประสาท รวมไปถึงโรคปวดศีรษะไมเกรน
.
การครอบแก้ว มีประโยชน์อะไรบ้างล่ะ?
✅ ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด
✅ ช่วยบรรเทาอาการปวด ทำให้เกิดการผ่อนคลาย
✅ ช่วยลดการตึงตัวของกล้ามเนื้อ เพิ่มความยืดหยุ่น
.
ซึ่งการครอบแก้วจะนิยมทำเฉลี่ยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ยิ่งทำต่อเนื่องจะยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาที่มากขึ้น
.
มีงานวิจัยในต่างประเทศ ได้ทำการศึกษาการครอบแก้วกับการรักษาไมเกรน
โดยนำการครอบแก้วแบบเปียก (Wet cupping therapy) ทั้งหมด 5 จุด ระยะเวลา 20 นาที มารักษาในชาวไมเกรน ทั้งในกลุ่มที่มีออร่า และไม่มีออร่า
.
ผลการศึกษาพบว่า ชาวไมเกรนจำนวน 85 คนที่เข้าร่วมการศึกษาครั้งนี้ มีความถี่ของอาการปวดศีรษะลดลงอย่างชัดเจน ในช่วงครึ่งเดือนหลังหลังทำครอบแก้ว
.
ต่อไป อีกหนึ่งการรักษาทางเลือกยอดฮิตของชาวไมเกรน นั่นก็คือ การฝังเข็ม
.
การฝังเข็ม ไม่ได้มีเพียงการฝังเข็มแบบจีน ที่หลายๆ คนคุ้นหูกันเท่านั้น แต่การรักษาฝังเข็มมีการรักษาฝังเข็มแบบตะวันตกร่วมด้วย
.
ก่อนอื่นเราจะมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า
“ฝังเข็มแบบตะวันตก” และ “ฝังเข็มแบบตะวันออก : ฝังเข็มจีน” คืออะไร?
.
> ฝังเข็มแบบตะวันตก นั่นก็คือ การฝังเข็มเฉพาะที่ บนกล้ามเนื้อที่มีจุดกดเจ็บ หรือที่เราเรียกว่า trigger point โดยคุณหมอจะใช้เข็ม ไปคลายปมกล้ามเนื้อตัวนั้น เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นเกิดการกระตุกและคลายตัวออกนั่นเอง
> ฝังเข็มแบบตะวันออก หรือที่เราคุ้นหูกันว่า ฝังเข็มแบบจีน จะเป็นการฝังเข็มตามแนวลมปราณ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นไปยังอวัยวะที่ทำงานผิดปกติ เกิดการบำรุง ซ่อมแซมและทำให้สมดุลร่างกายของเราดีขึ้น
.
โดยการฝังเข็มแบบตะวันตก จะเน้นการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อเป็นหลัก ยกตัวอย่างเช่น ภาวะพังผืดกล้ามเนื้ออักเสบ โรคออฟฟิศซินโดรม
.
ซึ่งจะแตกต่างกับการฝังเข็มแบบจีน ที่จะหวังผลในเรื่องของการลดอักเสบ และจะสามารถรักษาโรคได้หลายกลุ่ม เช่น กลุ่มโรคระบบประสาท อาการปวดจากตัวกล้ามเนื้อ โรคระบบทางเดินอาหาร และโรคที่เกี่ยวกับฮอร์โมนต่างๆ
.
วันนี้เราจะมาเน้นทำความรู้จักกันในเรื่องของ “ฝังเข็มแบบตะวันตก” ที่นิยมใช้รักษาในโรคปวดศีรษะไมเกรนโดยตรง และจะสัมพันธ์กับชาวไมเกรน ที่มีโรคพังผืดกล้ามเนื้ออักเสบ (myofascial pain syndrome) ร่วมด้วย
เราจะมาทำความรู้จักกับ โรคพังผืดกล้ามเนื้ออักเสบเพิ่มเติมกันเล็กน้อย
โรคนี้ถือว่า เป็นโรคร่วมที่พบในชาวไมเกรนมากเป็นอันดับต้นๆ
.
โดยที่โรคนี้ จะสามารถทำให้เกิดอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง มักจะมากับสิ่งที่เรียกว่า “จุดกดเจ็บ (trigger point)” มีนักวิจัย Calandre และคณะ ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับตัว Trigger point คนไข้ไมเกรน พบว่าจำนวนของจุดกดเจ็บ จะสัมพันธ์กับความถี่และความรุนแรงของอาการปวดศีรษะไมเกรนนั่นเอง
.
ในชาวไมเกรน จุดที่มักส่งผลให้เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรน ได้แก่ บ่าทั้งสองข้าง เพราะกล้ามเนื้อบ่ามันจะมีการเกร็งตัวเวลาที่เรานั่งทำงานในท่าซ้ำๆ เดิมๆ
.
จากงานวิจัย ได้บอกไว้ว่า การฝังเข็ม สามารถช่วยลดอาการปวดไมเกรนได้จริง แต่ขึ้นอยู่กับการตอบสนองในแต่ละบุคคล
.
ต้องฝังบ่อยไหม?
แนะนำว่า ฝัง อย่างน้อย 6 session ขั้นต่ำ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก็อาจจะ work อย่างน้อยเทียบเท่ายากิน
.
ผลข้างเคียงหลังจากฝังเข็ม พบอะไรได้บ้างล่ะ?
✅ บางรายมีอาการปวด ระบม หลังจากฝังเข็มประมาณ 1-4 วัน
✅ บางรายอาจะมีอาการหน้ามืด วิงเวียน เป็นลมได้
.
นอกจากนั้น เมื่อเราฝังเข็มเรียบร้อยแล้ว โอกาสการกลับมาเป็นซ้ำยังสามารถเกิดได้อย่างแน่นอน การปรับพฤติกรรม ท่าทางการนั่ง จึงเข้ามามีบทบาทร่วมด้วยนะ
แหล่งอ้างอิง :
https://www.rama.mahidol.ac.th/altern_med/th/cupping_km
https://hdmall.co.th/c/what-difference-dry-needling-vs-acupuncture